วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปีใหม่



วันหมุนเวียนเปลี่ยนใกล้ปีใหม่แล้ว
มองเห็นแววเวลาของฟ้าใหม่
มอบบทกลอนอวยพรมาคล้องใจ
ให้แจ่มใสสดชื่นทุกคืนวัน

                      ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
                      สามโลกไท้จงอำนวยอวยพรท่าน
                      มีความสุขพ้นทุกข์ผองภันพาล
                      ตลอดกาลตราบชั่วนิรันดร์เทอญ.

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คิดถึงเธอในทุกวันที่ฉันหายใจ

เพราะเราไม่ได้อยู่ใกล้เคียงกัน
เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่รู้เธออยู่ตรงไหน
แต่รู้ว่าเธอจากไปแสนไกล
มีเวลากับใครใครหลายหลายคน

                      ฉันยังหวังว่าเราจะพบกัน
                      ในบางวันแม้หวังนั้นจะมืดหม่น
                      ได้แต่ท่องจารจบไว้ในใจตน
                      ว่าเธอคือคนคนนั้นที่ฉันรอ


แม้ว่าวันจะผ่านนานเท่าไร
คงจะได้สมหวังดังที่ขอ
แม้จะต้องกลืนกล้ำน้ำตาคลอ
แต่จะไม่ตัดพ้ออีกต่อไป


                         มาหาฉันเถอะนะจ๊ะคนดี
                         ฉันยังอยู่ที่ตรงนี้ไม่ไปไหน
                         เปิดประตูทุกซอกของห้องใจ
                         ยิ้มละไมต้อนรับเธอกลับมา

คิดถึงเธอในทุกวันที่ฉันหายใจ
แปลว่าไม่มีวันไหนไม่โหยหา
แปลว่าฉันรักเธอตลอดเวลา
จำไว้ว่า "รักของฉันนิรันดร""

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ประสาทเมืองสิงห์

อืม.. ประสาทเมืองสิงห์ ใช่ และเราก็มาเดินอยู่ในบริเวณอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นโบราณสถาน ชื่อว่าปราสาทเมืองสิงห์ อยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ใหญ่โต และยังคงแสดงถึงความยิ่งใหญ่ ยุคพันกว่าปีมาแล้ว...เหมือนเรากลับไปอยู่ยุคนั้น......


ณ สถานที่แห่งนี้มีมนต์ขลัง
มีพลังงดงามตามสถาน
เราก้าวมาหยุดลงตรงหน้าลาน
เขตสถานตระหง่านสูงสลดลง




                อิฐแดงก่ำกำแพงรอบเป็นขอบขันธ์
                ก่อกอรปกันกั้นห้องเป็นช่องโล่ง
                ที่ตรงกลางกว้างเห็นเป็นท้องพระโรง
                ประตูโค้งตรงแนวกลางระหว่างเดิน




                             ล่วงเข้ามาห้องฐานด้านในสุด
                             คล้ายพระพุทธประดิษฐานไม่ขัดเขิน
                             เรียงรายรอบกอบกองก่ายได้เผชิญ
                             บ้างส่วนเกินส่วนขาดอุจาดจอม


              
                                                   ยังองค์งามตามสถาปัตยกรรม
                                                   ความคลาคล่ำเกิดในสมัยขอม
                                                   กระพังโอบร่มเย็นมีเห็นพร้อม
                                                   รอบรายล้อมฐานชุกชีมีช่องเชิง




กำแพงสูงโอบล้อมเขื่อนเขตขัณฑ์
อัศจรรย์พลันเด่นเห็นจะเพิ่ง
สัณนิษฐานว่าเมื่อครั้งเคยดำเกิง
เจ้าเมืองขอมเถลิงราชสถาพร




                             หอมระรินกลิ่นดอกปีบที่รายรอบ
                             ละลานขาวตามขอบรอบสลอน
                             กอบกำหนึ่งยอบกายถวายพร
                             สยบซ่อนซ่านปิติประจักษ์จง


                                          ข้าฯ ขออนุญาตมาชมเยี่ยม
                                          ได้เต็มเปี่ยมอิ่มความงามตามประสงค์
                                           สถาปัตยกรรมน้ำงามยังดำรง
                                          ศักดิ์สิทธิ์คงรับรู้ระลึดญาณ




ฉับพลันลมม้วนหวิวพริ้วเหนือเศียร
เป็นวงเวียนหมุนตลอดรอบสถาน
น้องระลึกรับรู้วิญญูญาณ
สืบสะท้านขานรับแผ่วแนวเวลา




                     ณ มุมหนึ่งจากลานลั่นทม
                     มีชื่นชมขมขื่นสะอื้นหา
                     หรือจะเป็นเพราะกายได้กลับมา
                     ซับคุณค่าครั้งเก่าเมื่อเนานาน




                               เราจากลาอลังการณ์สถานที่
                               นับจากนี้คงซากปรักอัครฐาน
                               ละอดีตอันรุ่งเรืองเรื่องวันวาน
                               คงสถาน"เมืองสิงห์" ไว้ในนิรันดร์.


เรามาหยุดยืนในห้องประทับในสุด คงเป็นห้องที่ประทับของกษัตริย์ หรือเจ้าเมืององค์ใดองค์หนึ่ง ที่มีความสำคัญ มาก ๆ
ตรงนี้ไม่มีใครเข้ามา นอกจากเรา ยืนนิ่งอยู่ โครงสร้างศิลาแลงที่ไร้หลังคา ยังดูยิ่งใหญ่ และมีมนต์ขลัง บัดเดี๋ยวนั้น ลมพัดหมุนวนลงตรงหน้า วูบหนึ่งรู้สึกว่า มีสัมผัสแผ่วเบาที่แขน เราสบัดหน้าเงยขึ้น เห็นกิ่งปีบด้านบนพริ้วไหว ลมวนลงตรงหน้า
พาดอกปีบกระจาย กลิ่นหอมจาง ๆ แปลกไปจากกลิ่นดอกปีบ
ลอยมา เอ๊ะ เราได้กลิ่นนี้จริง ๆ ใช่ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในที่นี้นี่
ยังมีใครอีกคน ที่ยืนเยื้องเราออกไปทางด้านหลัง หันไปดู ผู้หญิงสาว นุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้า สีไข่ไก่ เอ๊ะ รึสีงาช้างนะ เสื้อคอกลมเรียบ ๆ สีเดียวกัน แต่เดินขอบสีทองลายเรียบ สวยมากเลย ผมเกล้าเรียบเป็นมวยด้านหลังนั้น ทำให้ใบหน้านวลนั้นกลม และผ่องยิ่งขึ้น เอ๊ะ เธอมาตั้งแต่เมื่อไรนะ ไม่ทันสังเกตุ แต่ไม่เป็นไรนี่ เราก็มีเพื่อนละ เธอหันมามองเรา และก็ยิ้มให้ด้วย
"ลมแรงนะคะ "เรากล่าว เหมือนชวนคุยกลาย ๆ ....เธอพยักหน้า


ยังมีต่อ....

เธอชื่อ คุณนายกำธร

เมื่อมองจากหน้าต่างห้องเรา เลยกำแพงบ้านไป จะเห็นตึกใหญ่ ทรงโบราณสูงทมึนสีเทา มีหน้าต่างบานยาวจากชั้นบนลงล่าง ที่มองเห็นได้เท่านี้จากมุมต่ำ นั่นเป็นบ้านของคุณนายกำธร เท่าที่รู้ แกเป็นสาวโสดจนแก่ ตัวคนเดียว ไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่กับคนรับใช้หลายคน เพราะแกเป็นเศรษฐีเก่า จึงได้รับอุปการะเด็กหลายคนให้เรียนหนังสือในดรงเรียนละแวกบ้าน หลายครั้งที่เรานึกสงสัยว่าแกกินอยู่อย่างไรกันนะ ผู้หญิงแก่ กับตึกโบราณอย่างนั้น มันดูทึมทึบใหญ่โต แต่อ้างว้าง และหลายครั้ง ที่เราตกใจเพราะเสียงร้องไห้ของเด็กในอุปการะ ที่ถูกแกตีเพราะหนีเที่ยว เสียงร้องโหยหวน กับเสียงไม้เรียวหวดยามดึก มันเสียดแทงหัวใจ ทำให้เราผวา สงสารเด็กจับใจ กับเกลียด คุณนายกำจร มากยิ่งขึ้นทุกที

เราไม่เคยเห็นตัวจริงของคุณนาย จนมาวันหนึ่ง ถัดวันขึ้นปีใหม่ไปหน่อย มีคนมากดออดหน้าบ้าน เราไปเปิดประตู ภาพที่อยู่ตรงหน้า ...หญิงแก่ตัวเล็ก ผิวคล้ำ ผอมเกร็ง ผมสีดอกเลาหยักศก ตัดสั้นคล้ายดอก
กระทุ่ม แกวส่เสื้อผ้าลูกไม้สีเก่า ๆ ผ้าซิ่นสีอิฐขรึม ดูจะเก่าพอ ๆ กับเสื้อ แต่สะอาด และเป็นระเบียบ ในมือ ถือจานสังกะสี ใส่สังขยาฟักทองลูกหนึ่ง แกยื่นให้ บอกว่า จากข้างบ้าน เรากล่าวขอบคุณ และรับของมา อ๋อ! คุณนายกำธร น่ะเอง ไม่มีแววตาแสดงความยินดียินร้าย ขณะส่งให้ ไม่ต้องการการตอบรับใด ๆ แกหันหลังเดินตัวตรงกลับไป นั่นเป็นครั้งเดียว ที่ได้เห็นตัวตนจริงของคุณนายกำธร

เราไม่ใส่ใจกับคุณนายนัก เพราะแกไม่เคยสุงสิงกับใคร ตั้งแต่วันนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นแกเยี่ยมหน้าออกจากบ้านอีกเลย ทุกทุกปีใหม่ ทางโรงเรียนที่คุณนายเป็นผู้อุปการคุณ จะจัดมโหรี ปี่พาทย์ มาแสดง เพื่อเป็นการขอบคุณ นั่นคือ ครั้งเดียวในรอบปี ที่บ้านนี้มีงาน

ค่ำแล้ว...แสงไฟสปอร์ตไลท์ สว่างไปทั่วบริเวณบ้านคุณนาย ผู้คนมากหน้าหลายตา เสียงแม่ครัวปรุงอาหาร อยู่หลังบ้าน ใกล้รั้วบ้านเรากึงกัง เรารู้สึกตื่นเต้นไปกับงานด้วย และงานก็เริ่มด้วยการบรรเลงดนตรีไทยเพลงเบิกฤกษ์ มีรำอวยพร รำฉุยฉาย เสียงปี่พาทย์ ประโคมเพลงหวานแว่ว เราตกอยู่ในภวังค์
ไม่มีใครในบ้านถูกเชิญให้ไปร่วมงานหรอก แต่ในความคิดคำนึง คุณนายคงนั่งอยู่ท่ามกลางคณะครู และนักเรียนในอุปการะ ความครึกครื้นของงาน ทำให้ใบหน้าที่เข้มดุนั้นดูอ่อนโยน ด้วยสายตาที่เอ่อท้นความปิติ สุดท้าย มีการกล่าวสรรเสริญความดีของคุณนาย ที่สนับสนุนโรงเรียนเสมอมา

งานเลี้ยงเลิกประมาณสามทุ่ม คงเหลือแต่เสียงล้างจานชาม ไปจนเกือบค่อนคืน

เราคุ้นเคยกับเสียงดนตรีไทยที่บ้านคุณนายทุกปี จนมาระยะหลัง ๆ เสียงเพลงหายไป เราก็เกือบจะลืมแกไปแล้วเช่นกัน

ปีนี้ เรากลับมาเยี่ยมบ้านคุณป้า ที่เราเคยอาศัยอยู่ ไม่มีบ้านคุณนายกำธรให้เห็น เรานั่งลงตรงที่เก่าริมรั้ว
มองจากหน้าต่างห้องออกไป ไม่มีตึกโบราณทรงสูงที่เคยคุ้นตา หากถูกเปลี่ยนเป็นคอนโดมีเนียมสูงหลายชั้นเข้ามาแทน เราหวนคิดถึงคุณนายกำธร ผู้ผญิงร่างเล็กคนนั้น ที่เคยช่วยให้เด็กยากจน หลายต่อหลายคน ได้เรียนหนังสือ

เสียงเพลงไทยหวานแว่วในความคิดคำนึง เราไม่เคยเห็นรอยยิ้มจริง ๆ ของแก หากวันนี้ เราเห็นรอยยิ้มจากใจของคนแก่เหงา ๆ คนหนึ่ง รับรู้ถึงภายในดวงหน้าที่เฉยชานั้น มีความเอื้ออาทร และภาระรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เต้มเปี่ยม

ในภวังค์ เรารับขนมจากมือคุณนาย เห็นรอยยิ้มบาง ๆ จากดวงตาที่อ่อนโยน เรากราบขอบคุณงาม ๆ และบอกกับคุณนายว่า " แล้วหนูจะไปงานเลี้ยงที่บ้านคุณนายค่ะ "!!

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Dream...

หากเราฝันเรื่องหนึ่งซึ้งซึ้งได้
จะทอดกายในอ้อมกอดของยอดขวัญ
จะซาบซึ้งจุมพิศกันและกัน
ปล่อยคืนวันผ่านไปอย่างช้าช้า


                             ในสัมผัสที่อ่อนละมุน
                             ยังอบอุ่นในอ้อมกอดที่แกร่งกล้า
                             จะนิ่งนานเมื่อประสานสบสายตา
                              ท้าคมกล้าและหวั่นไหวในใจเรา


                                   คงแค่ฝันละเมอไปหลายหลายอย่าง
                                   ดูแตกต่างห่างจากจริงยิ่งใจเศร้า
                                   ปล่อยเถอะนะ ความฝันกับเรื่องราว
                                   กลับมาเป็นตัวของเราอย่างเก่าเอย.

ริมน้ำน่านที่พิษณุโลก

ในวันที่เรามาเยือนพิษณุโลก.....



ริมน้ำน่านวันร้อนตอนค่อนบ่าย
เราผ่อนคลายสายตากับฟ้าใส
ผะผ่าวแดดแผดผิวริ้วรอยไอ
สายน้ำไหลขอดเชี่ยวเกลียวขุ่นตม


                                  ผืนนากว้างน้ำตาลหม่นพ้นหน้าหนาว
                                  เขาเกี่ยวข้าวทุกท้องนาปล่อยหญ้าล้ม
                                  รอยเกรียมเผาทอดไกลไฟตามลม
                                  พาลไม้ใหญ่พลอยล้มลมร้อนลาม


                                             เพียงทองกวาวพราวแสดแผดแดดจ้า
                                             ดื่นดาษตาทิ้งใบให้คอยถาม
                                             แสดสีส่องกระไรใยดูงาม
                                             อยู่กลางท่ามความแล้งแห่งสายลม

ตะแบกพวงม่วงสดยืนทอดกิ่ง
ยังอ้อยอิ่งเฟื่องฟ้าแกมแซมผสม
เป็นภาพตัดความแล้งล้าที่น่าชม
เหมือนความขมมีหวานซ่อนอยู่ตอนปลาย


                                    ตะวันต่ำเริ่มค่ำลงตรงชายฝั่ง
                                    ท้องฟ้ายังส่องแดงเป็นแสงสาย
                                    ทินกรอ่อนเย็นเริ่มเร้นกาย
                                    วงกลมใหญ่ฉายฉากซากไพรพง


                                                 พิษณุโลกกับแม่น้าน่านวันนี้
                                                 ได้มาเยือนถึงที่มีป่าโปร่ง
                                                  ความร้อนแล้งแฝงเร้นให้เห็นคง
                                                  หากลำน้ำส่งท้ายคลายบรรเทา


ที่โค้งขอบค่ำลงคงดูเรียบ
ยังคงนั่งเงียบเงียบอนู่ที่เก่า
ยอดเจดีย์วัดใหญ่ทิ้งให้เงา
สลักเสลายอดหงส์คงแวววาว


                                   เก็บทัศนียภาพกับอารมณ์
                                   ความชื่นชมเรียงร้อยถ้อยดังกล่าว
                                   จะลาจากแล้วหนอช่อทองกวาว
                                   แล้งลมหนาวผิวผ่าวชาวสองแคว.



วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หอมกลิ่นดอกประดู่

ดอกประดู่ที่บานเมื่อวานนั้น
โรยกลีบอันบอบบางใต้ล่างต้น
แลละออเหลืองอร่ามงดงามจน
เรณูปนพรมหญ้าเหมือนทาทอง


                         หอมเอยหอมกลิ่นดอกประดู่
                         สิจึงรู้ว่าลมร้อนตอนมาต้อง
                         ผะผ่าวหน้าไล้ผิวนวลละออง
                         คือครรลองของวันวารผ่านฤดู




                                    ที่ริมธารน้ำใสไหลร่มรื่น
                                    กับความหอมสดชื่นของประดู่
                                    กับดวงตาชวนฝันของโฉมตรู
                                    เพียงชมดูยิ่งงามยามพินิจ




                                           เชิญสิมาสัมผัสธรรมชาติ
                                          ใสสะอาดวาดหวังดังลิขิต
                                           เพื่อจรรโลงคุณค่าแห่งชีวิต                 
                                           ให้สถิตทุกแวววันนิรันดร.

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความเปลี่ยนแปลง

อืม.... วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มไปหมด ดูสิ ฝนทำท่าจะตกในไม่ช้า ทุกอย่างตกอยู่ในความอึมครึมของหมู่เมฆ เหมือนจะถูกกลืนหายไปกลุ่มเมฆทมึน ซะอย่างนั้น...


ลมจะเริ่มแปรปรวนทวนกระแส
ฟ้าจะแลมืดหม่นกว่าหนก่อน
ทุกทุกแห่งเริ่มระแหงและแรงร้อน
นกจากคอนลับหายที่ปลายนา

                     เป็นลางบอกเหตุอาเภทพบ
                     อาจประสบทุกข์โศกที่มากกว่า
                     และทุกทุกคุณค่าของเวลา
                     อาจจะไม่มีค่า...ในอนาคต.


                               

ดึกแล้ว

ดึกแล้ว
ดอกแก้วหน้าบ้านส่งกลิ่นหอม
เล็บมือนางกรุ่นกลิ่นพวงพยอม
น้ำค้างล้อมรื้นเรี่ยลงเกลี่ยดิน


                                  คิดถึง...
                                  คนซึ่งอยู่ไกลใฝ่ถวิล
                                  เพียงส่งใจบอกให้เพื่อได้ยิน
                                  เป็นแพรพิณแด่คนไกล...ให้แก่เธอ..


ฝัน...

ฝันถึงบ้านอันอบอุ่น
ฝันถึงแขนเคยคุ้นหนุนแทนหมอน
ฝันถึงคืนวันอันอาทร
ยิ้มเสียก่อนแล้วจะนอนฝันดี

                      เพื่อจะตื่นขึ้นมารับวันใหม่
                      ดวงอาทิตย์จะสดใสในพรุ่งนี้
                      ส่องประกายโอบแขนรับคนดี
                      เพื่อให้มีกำลังใจไปนานนาน...

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ในวันที่เริ่มเปลี่ยนฤดูกาล

จริง ๆ แล้ว ยังไม่ถึงหน้าหนาว เลย แต่วันนี้นึกถึงหน้าหนาว ( ทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนจะแย่ ) เลยแต่งกลอนนี้ขึ้นมา...

ลมแล้งตอนค่อนสายระบายพริ้ว
ใบไม้ปลิวละกิ่งทิ้งใต้ต้น
ลมบ้าหมูหอบใบให้หมุนวน
กลางฝุ่นปนกรอบแกรบละแดดแดง

                              อาจจะมีฝนสุดท้ายในคืนนี้
                              และอาจมีลมหนาวเข้ามาแฝง
                              รัตติกาลจักคลืบคลานผ่านม่านแดง
                              เป็นกำแพงเนิ่นสนิทยามนิทรา


                                 หยดน้ำค้างเหยาะหยาดลงหมาดพื้น
                                 เพื่อหยิบยื่นสำเนียงเสียงแปร่งปร่า
                                 เผาะเผาะพร่างน้ำค้างไม่สร่างซา
                                 ยินจนฟ้ารุ่งรางค่อยบางเบา


เราจะยิ้มต้อนรับกับอีกวัน
ซึ่งทอฝันผิดแผกแปลกจากเก่า
รับตะวันเริ่มสว่างกลางฟ้าเทา
และหยอกเย้ากับเงาของวันวาร


                          และทุกทุกพรุ่งนี้ที่ก้าวย่าง
                          เราจะวางใจรับกับภาพฝัน
                          และก้าวไปข้างหน้าพร้อมพร้อมกัน
                          เพื่อโลกอันพริ้งเพริศบรรเจิดเอย

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ที่รัก

ที่รัก.... จะไม่รักจักห้ามใจไว้ไม่ได้
             จะไม่ให้คิดถึงเท่าไรใจยังคิด
             แม้รู้ว่าห่างไกลไม่มีสิทธิ์
             เพียงแค่นิดหนึ่งเสี้ยวใจขอได้มา




                                           ไม่รู้ว่าเธอยังคิดถึงฉันไหม
                                            เพราะห่างไกลเกินกว่าจะพบหน้า
                                            อาจมีใครบางคนใกล้ชิดกว่า
                                            อาจจะคว้าหัวใจไปครอบครอง




                                                          ไม่ได้เห็นคำหวานว่าคิดถึง
                                                           ไม่เห็นคำซึ้งซึ้งมากู่ก้อง
                                                            ไม่ได้ซุกอกอุ่นเคยตระกอง
                                                             น้ำตานองตกในใจแหลกราญ




  ยังอบอุ่นอยู่ในอ้อมแขนกอด
  เคยสวมสอดกอดเธอในวันหวาน
  ความทรงจำตราตรึงถึงวันวาน
  ยังเนานานหวานหวามทุกวารวัน


                        เธอจะกลับมาเหมือนเดิมไหมที่รัก
                        หรือจะพักรักแท้แค่ความฝัน
                        หรือจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อฝ่าฟัน
                        เพื่อให้ฝันพลันสลายกลายเป็นจริง


                                              ฉันจะยืนเผชิญหน้าตาซื่อซื่อ
                                              คว้าข้อมือเธอมาใกล้ใจนิ่งนิ่ง
                                              โอบกอดไว้ให้รู้ว่ายังรักจริง
                                               ขอแอบอิงหวานใจไปนานนาน.

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาเลือกตั้งกันเถอะ

ผ่านหน้าปากซอย ...นักเรียนโรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม เค้าออกมารนณรงค์หาเสียง ตอนเช้า ทุกวัน
ดูแล้วดีจัง เอามาฝากนะ .....
















อ้ะ ช่วยกัน เพื่อชาตินะ....อย่าอายเด็กเค้า

เลือกเบอร์อะไร ก็ตามใจนะ แค่รนณรงค์ให้ไปเลือกอ้ะ โฆษณา google เค้าขึ้นมายังไง ไม่เกี่ยวนะ อิอิ

บรรพที่สี่ ค่ำคืนในเมืองใหญ่

เชียงใหม่... ยามค่ำคืน ก็ยังเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ เงาตะคุ่มของกำแพงเมืองเก่า ทำให้เราหวลคิดถึงภาพ ประวัติศาสตร์ เก่า ๆ แสงไฟยามค่ำคืนของเทศกาล ส่องเมืองให้มีชีวิตชีวา

ฉันยืนอยู่ริมบาทวิถี หน้าโรงแรม เพื่อขึ้นรถสองแถวเล็ก ไปเดินเที่ยวย่านไนท์บาร์ซา อืม..เมืองใหญ่
ยามราตริ สวยงามก็จริงอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยผู้คน และมลพิษจากคลื่นรถ ที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ
อากาศในเมืองไม่หนาวอย่างที่คิด ฉันเพียงแต่เสื้อยืด กับกางเกงสามส่วน และรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง
กับถุงเท้าหนา ก็เพียงพอ รถติดนานจริง ๆ กว่าจะถึง ก็เสียเวลาตั้งนาน  ฉันชอบเดินดูผู้คน มากกว่าซื้อ
ของฝาก เพราะของฝากต่าง ๆ ได้ซื้อตั้งแต่เที่ยวบนเขาโน่นแล้ว วันนี้อิสระ ฉันเดินกลมกลืนไปกับผู้คน
แวะหาอาหารรับประทาน แล้วเดินเรื่อยเปี่อย ซื้อของได้บ้างบางอย่าง และกลับโรงแรมประมาณเที่ยงคืน

เมื่อย่างเข้าวันใหม่ มองจากหน้าต่างห้องพัก จะเห็นพลุที่ถูกจุดเกือบจะพร้อม ๆ กันในที่ต่าง ๆ สวยงาม
ละลานตา ทีวี มีพระเทศน์ เวลาของวันใหม่ ปีใหม่คลืบคลานเข้ามา ไม่นาน เราก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จากการไปเบียดเสียดผู้คนมาค่อนคืน
   ลาก่อนปีเก่า....สวัสดีปีใหม่


                        ค่ำคืน ฉลองปีใหม่ในเมือง
                        พลุพร่างพราวเฟื่องเมืองใหญ่
                        ผู้คนหลายหลากมากไป
                        ฉลองชัยปีใหม่กรายมา


                                  ฉันนั่งอยู่ในห้องเงียบ
                                  เปรียบเทียบระหว่างเมืองกับป่า
                                  กับมองกลุ่มดาวบนฟ้า
                                  และพลุสีสันสว่างจ้า...เต็มฟ้าเอย.


เขียนเมื่อค่ำคืนของปีใหม่ในปีหนึ่ง ที่เชียงใหม่....

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เที่ยวเชียงใหม่ อีกครั้ง

น้ำเป็นร้อยดอยเป็นแสนแดนถิ่นเหนือ
จากยุคเทอร์เทียรี ( Tertiary )ที่ทรุดต่ำ
" หลวงพระบาง" "เพชรบูรณ์"" ผีปันน้ำ"
ล่องเป็นลำธารไหลลงจากพงไพร




                                  ทั้งปิงวังยมน่านลำน้ำตก
                                  โอบล้อมปกนฤมิตรพิศมัย
                                   ดอยแห่งดินแดนล้านนาน่านฟ้าไทย
                                   หริภุญไชยเกรียงไกรหลายร้อยปี




                   
                                                      อินทนนท์ผ้าห่มปกดอยเชียงดาว
                                                      มีช้างน้าว ช้างกระ กล้วยไม้ที่
                                                      อีกเอื้องแซะ ฟ้ามุ่ย เอื้องผึ้งมี
                                                      ไม้สักนี้ ในดงดิบ และเบญจพรรณ




เย็นเอยเย็นยะเยือก
เราจะเลือกท่องไปในแดนฝัน
ระหว่างเดือนตุลา- กุมภาพันธ์
ยอดดอยนั้น น้ำค้างแข็ง แม่คะนิ้ง




                            เมือง"สุวรรณโคมดำ" ลุ่มน้ำกก
                            "เวียงโยนกนาคพันธุ์" นั้นใหญ่ยิ่ง
                            "หิรัญนครเงินยาง" ที่อ้างอิง
                             คือความจริงพญาเม็งรายสถาปนา




                                                  ล้านนาคืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
                                                  หิริภุญไชยเขลางนครอยู่ตอนหน้า
                                                  พระนางจามเทวีวีรสตรีกัลยา
                                                  นี้คืออาณาจักร"นพบุรีศรีนครพิงค์"




เริ่มพอศอหนึ่งพันแปดร้อยสิบสาม
วัฒนธรรมประเพณีที่ใหญ่ยิ่ง
สองร้อยกว่าปีเสื่อมถอยรอยเวียงพิงค์
ต้องพึ่งพิงเป็นเมืองท่าพม่าเมือง




                                จนแผ่นดินกรุงธนฯประกาศกล้า
                                 เข้ากับเจ้ากาวิละคอยหนุนเนื่อง
                                 ประกาศชัยให้ล้านนากลับรุ่งเรือง
                                 มีพลเมืองเป็นชาวไทยสิบสองปันนา




                                                      "ยุคเก็บผักซ้า (ซ้า = ตะกร้า) เก็บข้าใส่เมือง"
                                                       เริ่มประเทืองวัฒนธรรมมากคุณค่า
                                                       ขานเรียก"มณฑลพายัพ"กาลต่อมา
                                                       เสด็จพ่อ ร.5 ผนวกดินแดน
                              


                                                                      เมืองเอยเมืองนิรมิตร
                                                                      เจิดวิจิตรตระการตากว่าใดแคว้น
                                                                      คือสวรรค์มรรคาของเมืองแมน
                                                                      ใครได้แม้นเยี่ยมชมสมใจเอย.

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำทำนายอนาคตโลก

ดินแดนระแหงดาษ             บรรยากาศมืดมัวหมอง
แดดจ้าดั่งทาทอง                ต้องละอองของฟองควัน
ต้นไม้ที่สดเขียว                  ยืนโดดเดี่ยวกระไรนั่น
สัตว์ป่าเข่นฆ่ากัน                ไม่ว่างวันเพื่อหยัดยืน
ทุรชนจะท้าทาย                  อสุรกายจะได้ฟื้น
ท้องฟ้าจะโครมครืน            ประกายปืนประดับดาว
ศาสนาจะปร่าแปรก             คำสวดแทรกบทโศรกเศร้า
นักปราชญ์กลับโง่เขลา       โลกรุมเร้าด้วยโรคร้าย
ชีวิตใช้ชีวิต                           ต่อชีวิตที่วางวาย
ผืนดินแห้งเหือดหาย            ม้วยมลายใต้โลกา
วาดว่ายังมีหวัง                      ด้วยพลังแห่งประชา
ด้วยรักและศรัทธา                ในเวลาโลกซวนเซ
สองกรจะช้อนโลก                ให้คลายโศกด้วยกล่อมเห่
คลายป่วนที่รวนเร                 ยืดเวลากล้าท้าทาย
ดับเดือนที่เดือดพล่าน          ดาวนับล้านกลับแววฉาย
ผิว่าจะเพริดพราย                  ลุล่วงปลายอวสาน.....

มนุษย์

พวกเราเป็นวิญญาณจากห้วงหาว
มากับดาวหมื่นแสนที่แดนสรวง
ลอยลิบลิบขลิบฟ้าที่ว่ากลวง
หล่นในห้วงเวลาของมานุษย์


                          มีเลือดเนื้อมีความเชื่อมีศรัทธา
                          บางเวลามีปรารถนาไม่สิ้นสุด
                          มีอารมณ์ดังกองไฟไว้ประยุทธ์
                          ไม่เคยหยุดอยู่นิ่งเฉยเลยสักครั้ง


                                               ดาวสุดท้ายปลายสรวงหากร่วงหล่น
                                               ก็คงคนสุดท้ายทั้งหลายบ้าง
                                               ลบภาพจริงทุกสิ่งเช่นควันจาง
                                               จึงทุกอย่างแหลกสลาย...คนกลายพันธุ์.

ในฝัน

ในนิยามความลับที่ซับซ้อน
เคยซุกซ่อนรอนร้าวบางคราวไหม
ฝากอารมณ์คมกร้าวในคราวใด
อีกหนึ่งใจสะท้อนกลับเหมือนรับรู้


                               เรามาเป็นคู่กันในฝันไหม
                               ฝันให้ใจถึงใจในคนคู่
                               เถอะคลื่นหมอกดอกไม้ยังกลายภู
                               ให้รับรู้รักในฝันนิรันดร


                                      พบกันในวันหรือคืนว่าง
                                      บนเส้นทางสร้างสรรค์ฝันอักษร
                                      รักพิสุทธิ์ในเส้นสายปลายทางกลอน
                                      ไม่รุ่มร้อนรอนร้าวหรือหนาวเอย....

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ได้เวลาน้ำชา

บ่ายแก่ ๆ อย่างนี้ ชาร้อนสักถ้วยดีไหม อากาศภายนอกอึมครึม มีฝนตกเม็ดเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้
ความร้อนอบอ้าว ลดลง เมื่อมองจากหน้าต่างห้องออกไปด้านนอก เหมือนมองภาพวาด ร้านรวง
ฝั่งตรงข้ามถนน มีรั้วขาวเตี้ย ๆ กั้นด้านหน้า มีต้นไม้ริมทาง และเก้าอี้นั่งสีขาวสะอาดตาตรงทางเท้าด้านหน้า ผู้คนเดินผ่านไปมา บ้างก็รอรถเมล์ บ้างก็เรียกแท็กซี่ บางคนเดินอย่างรีบร้อน ฝนกำลัง
จะตกใหญ่ในไม่ช้า ลมพัดต้นไม้โอนเอนไปมา หญิงสาวพยายามปิดกระโปรงที่ปลิวขึ้นลง เด็ก ๆ สอง
สามคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมทาง ขณะที่แม่ชะเง้อมองรถเมล์

เมื่อมองจากด้านในออกไป ภาพที่ดูรีบเร่ง กลับอ่อนโยนลง อาจจะเป็นเพราะในห้องเปิดแอร์เย็นสบาย
ในยามบ่ายเช่นนี้ กับเก้าอี้นุ่มสบายสักตัว ทำให้ทัศนียภาพภายนอก เหมือนภาพวาดที่เคลื่อนไหว ไม่ร้อน

ฉันชงชาใส่ถ้วยบาง ๆ สีไข่ไก่อ่อน นั่งลงริมหน้าต่าง เอาละ ชาเข้มได้ที่ ยกถุงชาออกวางในจานรอง
กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก กัดขนมปังกระเทียมกรอบชิ้นบาง แล้วดื่มชาขณะอุ่น ๆ เหยียดขายาว ๆ
ออกไปในท่าที่สบายเต็มที่

ฝนเริ่มลงหนาเม็ด ผู้คนต่างวิ่งหลบฝน บ้างยืนอยู่ตามชายคาอาคารร้านค้า สายฝนที่สวยงาม หยาด
ลงบนหน้าต่างกระจกเป็นทาง กระจกเริ่มฝ้ามัว ทำให้มองภาพข้างนอกไม่ชัด อากาศภายในเริ่มเย็นลงอีก ฉันเติมน้ำร้อนเพื่อชงชาอีกครั้ง ในอารมณ์นี้ ความสงบ ความเยือกเย็น กับบ่ายแก่ ๆ กับภาพวาดแห่งชีวิต ช่างงดงามเหลือเกิน

โอ๊ะ... ตายจริง ลืมเก็บผ้าที่ตากไว้ โอย ตายละ นั่นมันผ้าทั้งอาทิตย์ ที่เพิ่งซักเลยนะนั่น....

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพลงใบไม้

ริ้วอ่อนเขียวเกลียวกอดทอดปลายกิ่ง
แพใบทิ้งแนวโค้งเป็นวงกว้าง
เขียวแก่กล่ำแผ่กิ่งระโยงยาง
ทอดเป็นทางร่มเงาให้เราชม


                                เริ่มบทเพลงใบไม้ในวันใหม่
                                ทอถักใยสร้างโลกให้สวยสม
                                จึ่งดอกผลผลิใบได้ชิมชม
                                ราวแพรพรมห่มพสุธาเพลานี้


                                                         ยินสำเนียงเนิบช้าแต่แน่ชัด
                                                         กิ่งสบัดแกว่งตามยามลมที่
                                                         พัดถาโถมถั่งแรงแห่งปฐพี
                                                        น่าแปลกที่ใบบางสะอางตน


เพลงใบไม้พรายพร่างทอดร่างทิ้ง
จะละกิ่งปลิดใบลงใต้ต้น
เพื่อใบใหม่แตกหน่อละออตน
ทอดร่างปนเปื้อนดินเป็นอินทรีย์

                          เพื่อพรรณไม้งดงามในนามหนึ่ง
                          เพื่อผลพึงสดใสในโลกนี้
                          จึงปลิดร่างคว้างลงบนปฐพี
                          เพียงเพลงนี้....จึงทอดร่าง....อย่างทรนง.

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จากดวงตะวันถึงริมฝั่งโขง

ทั้งที่รู้ว่าพบพาต้องลาจาก
ก็ยังอยากเป็นตะวันบนฟากฟ้า
แม้มีจากยังฝากคำสั่งลา
บอกกันว่าจะมาพบเมื่อครบวัน

                            เธอจะเป็นเช่นนี้ได้ใช่ไหม
                            หรือมีใครในใจที่เฝ้าฝัน
                            และรอคอยทุกนาทีทุกวี่วัน
                            เถอะ...บอกฉันจะไม่ฝันถึงกันเลย


                                      มองน้ำหลากล้นปริ่มริมฝั่งโขง
                                      บอกตรงตรงจากใจอยากใคร่เอ่ย
                                      ทั้งพอรู้ส่าผลลัพธ์อาจเฉยเมย
                                      และไม่เคยมีเยื่อใยเหมือนสายน้ำ


                                           เรือลำน้อยลอยลับที่ทับคุ้ง
                                           เหเรือพุ่งกระเพื่อมสายพรายน้ำฉ่ำ
                                           ปาดน้ำตาลาแล้วความทรงจำ
                                           บอกลาลำโขงคดเคี้ยวไม่เหลียวคืน


โน่นตะวันแสงสุดท้ายที่ปรายฟ้า
เป็นนัยว่ามาทวงฝันเมื่อยามตื่น
หากน้ำค้างร้างลาลับไปกับคืน
มีเพียงรื้นชื้นน้ำค้างที่ปรางค์นวล....

สะพานฝัน

....เรากำลังก้าวข้ามสะพานฝัน
    เพื่อฝ่าฟันถึงจุดหมายปลายทางหน้า
    เผชิญกับเหตุการณ์ที่ทายท้า
    เพื่อค้นหา หรือ คว้าชัย....อย่างไรกัน.....


                    ทุกนาทีที่โลกมีความหมาย
                    ความเป็นตายอาจใกล้หรือไกลนั่น
                    หากชีวิตจากชีวิตต้องไกลกัน
                    จำจาบัลย์พรั่นสะพรึงเพียงหนึ่งเดียว

เรื่องราวจากสะพานสูง

แสงสุดท้ายยังสว่างอยู่อย่างนั้น
ในสายัณห์วันหนึ่งซึ่งมองเห็น
สีส้มทองทาบทาเพลาเย็น
แนวเมฆเน้นเรียงรายประปรายฟ้า

                        สะพานสูงยืนทอดร่างอย่างอ่อนหวาน
                        ภาพอาคารสะท้อนแสงสีแดงจ้าง
                        และความมืดจะโรยตัวอย่างช้าช้า
                        สะท้อนฟ้าเพียงเห้นได้ในแผ่นน้ำ


                                          กลายเป็นความงดงามอีกยามหนึ่ง
                                          พระจันทร์พึ่งพ้นทิวไม้ในคืนค่ำ
                                          ทิ้งบ้านเรือนแถวทิวไม้ทมึนดำ
                                          น้ำค้างพรำกับพร่างพราวหมู่ดาวโพ้น


เรือที่ทอดสมอรอรุ่งสาง
แลเห็นเงารางรางออกเกลื่อนกร่น
เรือท่องเที่ยวตามไฟสว่างโพลน
มีแทรกปนเรือเล็กเล็กยังลอยลำ

         
                            โค้งสะพานผ่านคุ้งเหมือนรุ้งโค้ง
                             แนวหลักคงสะท้อนไฟในภาพนั้น
                             เป็นสายรุ้งแสนงามยามรัตติกาล
                            เป็น"เวตาล"เล่าเรื่องเมืองกลางคืน

                   
                                                    แลลงล่างพร่างพราวระยับยิบ
                                                    ไกลลิบลิบคือเมืองกว้างยังคงตื่น
                                                     ในหลืบมุมแสงสีของค่ำคืน
                                                     แลดาษดื่นกลบแสงดาวที่ราวฟ้า


                               มนุษย์ ...สิ่งก่อสร้าง...ธรรมชาติ
                               แปลกประหลาดปลอมปนอย่างแปร่งปร่า
                               บางคราวดูสวยงามยามพิจารณา
                               ขึ้นอยู่ว่าเป็นมุมมองของผู้ใด....


แล้วคุณล่ะ...คิดว่าอย่างไร

เขียนกลอนนี้ ในบางวัน ที่มองจากสะพานแขวน ในยามเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า....