วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยาชูกำลัง


"มาตั้งแต่เช้าแหละค่ะ ยื่นบัตรไว้ แล้วกลับบ้านไปก่อน เพราะหมอมาเกือบเที่ยง กลับไปรอที่บ้านดีกว่า"
ฉันตอบคำถามคนข้าง ๆ ที่ถามว่า มารอนานแล้วเหรอ

คนข้าง ๆ ที่ว่า เป็นหญิงวัยกลางคน อ้วน ๆ แต่งตัวธรรมดา คือเสื้อคอกลมสีตุ่น และกางเกงสามส่วน สีเขียวทึม ๆ บางคราวกลิ่นเค็มตัวก็ลอยออกมาจากตัวเธอ มาปะทะจมูก มันไม่เชิงเหม็นหรอก แต่คล้าย ๆ คนที่ทำงานใกล้ชายทะเลน่ะ ก็อยากจะถามนะว่าทำงานอะไร เธอนั่งทำหน้า อืม จะบอกว่าอย่างไรดีล่ะ รอคอยหมอ รึก็ไม่ใช่ เบื่อหน่ายรึก็ไม่เชิง แต่พอเราหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ติดกันนั้น และยิ้มให้ เธอก็รู้สึกยินดี
เหมือนกำลังรอคอยให้ใครซักคน เข้ามาใกล้ ๆ
และเธอก็เริ่มก่อน " ฮื้ม... เนี่ยเดี๋ยวหาหมอเสร็จ ก็ต้องกลับไปทำงานต่ออีกนั่นแหละ "  เธอว่า
" อ้ะ กว่าหมอจะมา ก็เที่ยงกว่าแล้ว พี่ยังจะไปทำงานอีกเหรอคะ " ฉันผสมโรงคุย ไม่รู้จะใช้สรรพนามแทนแกว่าอย่างไรดี เรียกพี่ละกัน
" ก็ เห็นใจเถ้าแก่แกน่ะ แต่แกก็ใจดำเหลือเกิน นี่จะปิดโรงงานเดือนกุมภาฯ หน้าแล้ว ยังไม่รู้จะว่าอย่างไรเลย"
" อ้าว บริษัททำอะไรเหรอคะ"
" ทำกระดาษทิชชู่"
" เอ ทิชชูเนี่ย น่าจะขายดีนะคะ "
" จ้ะ แต่ก่อนก็ขายดี เดี๋ยวนี้ก็ยังขายดีอยู่ ออเดอร์เข้ามาเยอะ แต่เถ้าแก่คนเดียว ทำไม่ทัน"
" อืม"
" ก็เล่นไล่พี่น้องออกหมด ทีละคน สองคน เหลือแกทำคนเดียว บริหารงานอย่างไรก็ไม่รู้ ต่อมา งานก็เริ่มหาย บางครั้งไม่มีงานเข้า แกก็ให้คนงานหยุด โถ เราก็ไม่มีรายได้ ก็ต้องทนอยู่ "
" เอ พี่ทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วคะ"
" 20 กว่าปีแล้ว เนี่ย จะดูซิว่า ถ้าปิดโรงงานแล้ว เค้าจะให้อะไรคนงานมั่ง ตอนนี้ เหลือกันอยู่
  10 กว่าคน เท่านั้น แต่ละคนที่เหลือก็ทำงานมานานทั้งนั้น แกจะให้เงิน ซักสองหมื่นกว่า รึเปล่า
  จะได้เอาไปตั้งตัว แต่แกก็ขี้เหนียวเหลือเกินนะ วันก่อนงานเร่ง บอกฉันว่า ขอร้องมาทำวันอาทิตย์ หน่อย และก่อนจากก้ัน ขอให้เห็นใจเถ้าแก่หน่อยนะ เอาค่าแรงแรงเดียวละกัน นึกว่าขอร้อง"
"โห ใจร้ายจังนะ จะให้คนงานออก แล้วยังริดรอนค่าแรงอีก ดู๊ อย่างนี้ พี่อย่าหวังเลยค่ะ ว่าเค้าจะให้อะไรพี่ เนอะ "
"น่านสินะ ยิ่งตัวแกเป็นทนายด้วย นี่ไม่รู้ว่า จะรวมตัวกันไปฟ้องศาลเรียกค่าแรงได้ไหม "เธอหันมาถาม เพื่อขอความรู้
" เอ น่าจะได้นา เพราะเราถูกเอาเปรียบ แต่ต้องไปกันทั้งหมดนะคะ น่าจะมีน้ำหนัก"
" เฮอ เมียเค้าก็รวยเอ๊า รวยเอา เห็นว่าทำงานแถวปดิพัทธิ์ แต่เค้าไม่พูดกันนา อยู่บ้านเดียวกันเนี่ยแหละ แต่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันนะ เรื่องงานที่โรงงานก็ไม่เกี่ยว แต่เห็นแกว่าผัวแกว่า ทำอย่างนี้ กะคนงานได้ไง"
" อ้ะ พูดอย่างนี้ และช่วยอะไรได้ ก็ไม่เห็นมาช่วย เลยใช่ไมีล่ะ "
" ฮือ ก็งั้นแหละ ไม่รู้เถ้าแก่แกมีปัญหาอะไรกะพี่น้องนะ เรื่องของเค้า เราไม่รู้ เมื่อก่อนนะ ตอนที่เค้าช่วยกัน งานเข้าเยอะ ขายดีมาก พนักงานทำงานทั้งวันทั้งคืน รถมาเต็มหน้าโรงงานเลย แต่ต่อมา ๆ พี่น้องพากันออก งานก็หมด ห้องพักที่เคยได้ฟรี พร้อมน้ำไฟ ก็ต้องมาจ่าย บางอาทิตย์ ก็ให้หยุดงาน และไม่ให้ค่าแรง"
" โห โหดจริง ๆ นี่พี่ทำงานเป็รายวัน มาตั้ง 20 ปีเลยนะนี่ "
" ฮืม เค้าขี้เหนียวมาก ๆ เลย ไม่มีความเมตตากะลูกน้องเลย ไม่ว่าจะทำมานานเท่าไร เค้าไม่เคยเห็นความดี"
" นี่ พี่จำไว้เลยนะ ไม่มีเถ้าแก่คนไหนที่ไม่ขี้เหนียว หรอกนะคะ ทุกรายเป็นอย่างนี้แหละ และอย่าหวังนะ ว่าเค้าจะให้อะไรพี่ ตอนโรงงานปิด"
" นั่นนะสิ ความจริงเค้ามีอีกโรงไกลมากจากที่นี่ หากเราไปฟ้องเค้า เค้าอาจจะแกล้งบอกว่า ให้เราย้ายตามไปโรงงานใหม่ แต่เราไม่ไป เลยไม่ต้่องจ่ายให้เรา และ เราจะทำอย่างไรดีล่ะ มิแย่เลยรึ"
" อืม ถ้างั้น พี่ต้องไปถามที่ศาลแรงงานแล้วละ ว่าจะทำอย่างไร" ฉันทำหน้าเพลียตาม
" เฮ้อ นี่หมอยังไม่มาเลย เดี๋ยวก็ต้องขอใบแพทย์ ไปให้เถ้าแกอีก และต้องทำงานต่อ"
" พี่ไม่ไปหางานใหม่ล่ะคะ"
" ก็หวังรอดูน้ำใจแก ตอนโรงงานปิดน่ะสิ เนี่ย "
" ฮืม "
ฉันก้มดูนาฬิกา เที่ยงกว่าแล้ว หมอยังไม่มาเลย ฮึ ประกันสังคม ก็เงี๊ย ทำให้ทุกคนต้องมานั่งจับเจ่ากันที่โรงพยาบาล เพราะหมอนัดทุกวันพฤหัส และวันละไม่เกิน 20 คนเท่านั้น บางคนมาไกล รอหมอตั้งแต่เช้า นั่งหลับก็แล้ว คุยกันก็แล้ว หมอก็ยังไม่มา มันอาจจะเป็นความเบื่อหน่าย จึงหันหน้ามาคุยกัน จนทำให้เก้าอี้ นั่งบริเวณหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลเต็มไปด้วยคนรอ และเสียงจ้อกแจ้ก ของการพูดคุย จะเห็นความเอื้ออาทร ความห่วงใย ในสีหน้า และ ความเป็นมิตร หากกวาดสายตา ดูรอบ ๆ ทุกคนเป็นคนไข้ แต่ในเวลานี้ จะมีอะไรดีไปกว่าการปรับทุกข์ และฉันก็กลายเป็นหนึ่งในกลุ่ม ที่เป็นผู้ถูกปรับทุกข์ ของหญิงข้าง ๆ เต็มไปด้วยความเห็นใจ และสงสาร
เสียงพยาบาลตะโกนเรียกชื่อใครบางคนด้านโน้น และประเดี๋ยว มีหญิงแก่คนหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้าห้องเบอร์ 11 ไป
" อ้ะ หมอมาแล้วค่ะ หนูไปรอหน้าห้องก่อนนะคะ เป็นคนที่สอง"
" อ๋อ มาแต่เช้าเหรอ"
" ค่ะ บ้านอยู่ใกล้ ๆ เลยมาลงชื่อและ กลับไปก่อน หมอแค่นัดมาดูเฉย ๆ ไปก่อนนะคะ"
ว่าแล้ว ก็เดินจากไป ไม่ช้าก็พบแพทย์ แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ และก็ออกจากห้อง
เดินผ่านใครอีกหลายคน ที่ยังคงคอยอยู่ การรอคอยที่ยาวนาน กับการได้พบหมอแค่อึดใจ
ก็คงเป็นยาชูกำลัง ที่จะทำให้ทุกคน มีความหวัง มีกำลังใจที่จะต่อสู้ กับอะไร ๆ ข้างหน้าที่จะเจอะเจอไม่ว่า มันจะดีหรือร้าย ขอให้เธอผ่านพ้นเรื่องต่าง ๆ ไปด้วยดี เถอะนะ อย่างน้อย ก็ได้ยาจากหมอ ไปต่อชีวิต อีกสักพัก ขอให้โชคดีค่ะ ฉันคิดในใจ และจากมา...


วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สงกรานต์ (เกือบ) โหดร้าย


"เร้ว...เดี๋ยวเราไปสรงน้ำพระกันที่วัดกลาง" เสียงผู้ใหญ่ บอกเด็ก ๆ ให้เตรียมแต่งตัว อันที่จริง ที่ว่าแต่งตัวนั้น เด็ก ๆ ก็ใส่ชุดใหม่ เช่นเสื้อใหม่ ตัวบางเบา เหมาะสำหรับอากาศร้อน ในวันสงกรานต์ และกระโปรง หรือกางเกงขาสั้น สีสวยสด ส่วนเสื้อนั้นก็มีดอกดวงสีจัดจ้าน นั่นก็นับว่า เป็น เสื้อสุดหรูของเด็กต่างจังหวัดแล้ว ส่วนเด็กผู้ชายนั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจ กับการแต่งตัวเท่าไรนัก แต่ที่ขาดไม่ได้ คือ ปืนฉีดน้ำ ใหญ่เล็ก ต่างกัน และดินสอพลอง ใส่ถุงพลาสติก เอาไว้ป้ายหน้ากัน อืม... ความสนุกมันอยู่ตรงนี้แหละ
เราคิดแบบเด็ก ๆ นั่นมันวัยเด็ก ที่เราอายุประมาณ 10 ขวบ
"เอ้า ..เสร็จแล้ว ไปกัน" ผู้ใหญ่เตือน แล้วพวกเรา ก็ขึ้นรถปิคอัพเปิดท้าย ไปที่วัด ใกล้บ้าน  ไม่นาน รถปิคอัพ ก็พาเด็ก ๆ มาปล่อยที่วัด วันนี้ เรามีเพื่อนใหม่ เพิ่งมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวาน อายุไล่เรี่ยกับเรา จึงคุยกันสนุกดี เลยชวนมาเที่ยววัดด้วย 
" ป๊าย...ปายกั๊น" ไม่นานนัก ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก ๆ ก็มาเสนอหน้ากันสลอน ที่ลานวัด โอย แต่แดดร้อนจัง พวกสาว ๆ หาเงาตนไม้หลบแดดกันใหญ่ ส่วนเด็ก ๆ ก็วิ่งว่อน ตักน้ำใส่ปืนพลาสติกบ้าง ขวดน้ำ และอะไรก็ตามที่พกได้ และละลาดินสอพลองใส่ขัน เดินบ้างวิ่งบ้างเลี้ยวลด ซอกแซก คอยหาคนให้ป้ายหน้า และสาดน้ำ พอเข้าใกล้ผู้ใหญ่หน้าเข้ม ก็ถอยกลับไม่กล้าแหยม พวกที่ยืนหน้าลานนั้น เค้ากำลังดูการประกวดนางสงกรานต์กันน่ะ ปีนี้มีสาว ๆ หน้าแฉล้ม หลายคนส่งเข้าประกวด บางคนก็หลานผู้ใหญ่ บางนางก็ลูกสาวคนในตลาด ประคบประหงมกัน ผิวขาวผ่อง จะเผยโฉมก็ตอนสงกรานต์เนี่ยแหละ อันที่จริงแล้ว ของรางวัลสำหรับเทพีอันดับหนึ่งนั้น ก็ไม่ได้มากมายอะไร อาจจะเป็นเงินจำนวนหนึ่ง กับขันน้ำพานรอง และผ้าซิ่นสวย ๆ สักผืน แต่สำหรับเวทีนางสงกรานต์ ของวัดกลางแล้ว จัดได้ว่าเป็นงานใหญ่ประจำตำบลเลยที่เดียว พวกเด็ก ๆ อย่างเราสนุกสนานกันมาก การได้สาดน้ำตัวเปียก ผึ่งลมประเดี๋ยวก็แห้ง และเล่นต่อ พอเหนื่อย ก็มองหาขนม ที่มีร้านรวงเล็ก ๆ มาตั้งขายขนม และ น้ำแข็ง ไสใส่น้ำหวาน สีเขียว แดง ราดด้วยนมข้น หรือ ร้านโน้น ไง ขายน้ำแข็งกด คือน้ำแข็งไส และ กดลงในถ้วยสังกะสี และใส่ไม้ไว้ตรงกลาง กดให้น้ำแข็งจับตัวกันแน่น และ ค่อย ๆ ถอดออกมา ถือด้ามไม้ไว้ และ ราดด้วยน้ำหวานสีตามสั่ง เด็ก ๆ รอซื้อกันเต็ม

ในไม่ช้า ผู้เข้าประกวดก็เดินเรียงแถวกันออกมา ใส่ชุดไทยสวยงาม บางคนก็ใส่สไบเฉียง สีชมพูสด ตัดกันกับผ้าซิ่นสีเขียวเข้ม บนศีรษะนั้น มุ่นผมโป่ง และประดับด้วยดอกไม้สด งามแบบธรรมชาติ บางนางนั้น ก็ใสุชุดไทยจักรี และมีเครื่องปะดับครบ สวยงามไปอีกแบบ เหล่าชายหนุ่ม ต่างเฝ้ามองสาวงาม อย่างชื่นชม และ ตั้งใจ นี่เป็นความเรียบง่ายของงานบ้านบ้าน ซึ่งยิ่งใหญ่สุดแล้วในกลุ่มชาวบ้าน ย่านหมู่บ้านเรา

ทุกคนต่างจับจ้อง การประกวด ซึ่งผู้เข้าประกวดนั้น จะต้องเดินรอบเวที เรียงตามกันออกมา และ มีการขายลูกโป่งให้กับผู้ชม ที่จะซื้อ และมอบให้กับสาวงามที่แต่ละคนชอบ และจะนับลจำนวนลูกโป่ง ใครได้มากสุด คือผู้ชนะ ไม่นานการประกวดก็จบลง ผู้คนทยอยกันเดินออกจากลานประกวด ไม่นาน ทางวัดประกาศให้ ทุกคน ไปสรงน้ำพระพุทธ ที่ทางวัด ได้นิมนต์ องค์พระออกมาด้านนอก เพื่อให้ชาวบ้านได้สรงน้ำพระพุทธ และ ที่ปะรำพิธีนั้น พระสงฆ์ เริ่มจากท่านเจ้าอาวาส นั่งเป็นองค์แรก หัวแถว และตามด้วยพระลูกวัด ตามกัน บนปะรำพิธีนั้น ผู้คน เริ่มทยอยกัน สรงน้ำโดยน้ำนั้น เป็นน้ำสะอาด ใส่ดอกมะลิ และ กลีบดอกไม้ พร้อมทั้งใส่น้ำอบไทย กลิ่นหอมคลุ้งไปทั่วบริเวณ พระท่านก็ให้พร ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส และ เมื่อสรงน้ำพระเสร็จ ทุกคน ก็จะสาดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางกลุ่ม ก็ รดน้ำดำหัว บุพการี และ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็น ประเพณี ที่สนุกสนาน และน่าตื่นเต้น อย่างยิ่ง สำหรับเด็ก ๆ อย่างเรา

บ่ายคล้อย แล้ว งานที่วัดจบแล้ว แต่หนุ่มสาว จังจับกลุ่มเล่นสาดน้ำกันสนุกสนาน เสียงหัวเราะต่อกระซิก และ เสียงกรี๊ดกร๊าด เวลาถูกน้ำสาด หรือถูกป้ายหน้าด้วยดินสอพลองเหลว แต่พวกเด็ก ๆ อย่างเรา ถูกต้อนกลับบ้าน

พวกเรากลับมาถึงตลาด มีการเล่นสาดน้ำกันตลอดทาง สนุกสนานกัน แต่พวกเราไม่ลืม การสรงน้ำหลวงพ่อหิน ซึ่งเป็นพระคู่ตลาด ตลอดมา หลวงพ่อหินนั้น ตั้งอยู่ที่ตลาดเหนือ ในศาลา ซึ่งสร้างอยู่ ด้านริมน้ำ เมื่อเราจะสรงน้พนั้น ต้องเดินลงไปตักน้ำในแพลูกบวบ ซึ่งอยู่ด้านล่างลงไปอีก อันที่จริงแล้ว แพลูกบวบนั้น มีไว้สำหรับผู้คนในตลาด มาอาบน้ำ และ ซักผ้า แต่ตอนนี้ เป็นเวลา ประมาณ ห้าโมงเย็น กว่า และเป็นวันสงกรานต์ ยังไม่มีใครลงมาอาบน้ำ หากแต่มีเด็ก ๆ เล่นน้ำ ว่ายไปมา เยอะ

เอาละ เรามาถึงศาลาแล้ว ฉันชวนเพื่อนต่างถิ่น " อ้ะ เราไปตักน้ำที่ริมแม่น้ำมาสรงพระกัะเถอะนะเธอ"
" ได้ ได้ ไปสิ" เพื่อนใหม่พยักหน้า และชักชวนกันลงไปยังชายตลิ่ง 

มองเห็นสะพานไม้ทอดยาวจากริมตลิ่ง ลงไปที่แพลูกบวบตรงหน้า ความยาวประมาณสองเมตรเห็นจะได้ และ รอบ ๆ เด็ก ๆ ก็กระชุ่นน้ำเล่นกันอยู่ เหมือนกำลังยืน ทำให้ฉันเข้าใจไปเองว่า บริเวณก่อนถึงแพนั้น น้ำติ้นแค่เอว และที่สะพานไม้ก็แคบและเล็ก ซ้ำมีเด็ก ๆ นั่งเล่นกันบนนั้น  ด้วยความที่เราจะรีบไปที่แพ เพื่อตักน้ำสะอาด ก็บอกเพื่อนไปว่า "เธอ นี่ นี่ เราลงไปในน้ำก็ได้นะ น้ำตื้น " เด็กสาวจากต่างแดน
ก็ฉวยโอกาสนั้น ทำตามที่บอก อย่างมั่นใจว่าน้ำตื้น ก้าวลงน้ำเป็นคนแรก  

จ๋อม นาทีนั้น มันเป็นอะไรที่เหมือนโลกหยุดหมุน ไปชั่วขณะ เพราะ ว่า ยังไม่ทันที่ฉันจะก้าวตามลงไป ฉันเห็นว่า เธอนั้น จมลงไปทั้งตัว นั่นมันอะไรกัน ฉันตกใจมาก งงไปชั่วขณะ ใจหายวาบ โอ แย่แล้ว เพื่อนจมน้ำหายไปไหนแล้ว " ช่วยด้วย เพื่อนจมลงไปแล้ว" ฉันตะโกนให้คนช่วย รอบ ๆ กาย ไม่มี ผู้ใหญ่เลย หากมีแต่เด็กวัยใกล้เคียงกับเรา กับเด็กหนุ่ม อายุมากกว่าเราหน่อย กระโดด น้ำเล่นกัน นี่มันอะไรกันน่ะ สมองของฉัน นั้นสับสนอึงอล ไปชั่วขณะ ฉันจะทำอย่างไรดี ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนต่างถิ่น ที่มาเยี่ยมเยือนในวันสงกรานต์ โอ.. ไม่อยากคิดถึงมันเลย

ไวกว่าความคิด เด็กหนุ่มคนหนึ่ง กระโจนเข้ามา และดำดิ่งลงไปใต้น้ำตรงบริเวณที่เพื่อนของฉันนั้นตกลงไป ฉันในขณะนั้น ก็ว่ายน้ำยังไม่แข็ง ไม่สามารถจะลงไปช่วยได้เลย มีแต่เด็กหนุ่มคนนั้น 
และอึดใจใหญ่ เค้าทะลึ่งขึ้นมาพร้อมกับดันตัวของเพื่อนสาว ลอยขึ้นมาเหนือพื้นน้ำ ฉันดีใจมาก และขณะเดียวกันนั้น ฉันรออยู่ตรงนั้นพอดี ก็ดึงตัวเธอขึ้นมาอย่างง่ายดาย ใช่ เบาเลยทีเดียว เพราะ แรงส่ง
ของน้ำนั่นเอง... 

ใช่ ...มันเป็นเพราะ ดวงยังไม่ถึงฆาต หรือเพราะโชคช่วย ก็สุกจะคาดเดา ละ เพื่อน เมื่อถูกดึงขึ้นมา 
ก็มีอาการตกใจ เหมือนกับช็อค แต่ยังไม่สำลัก เอาน้ำเข้าปอด อาจจะยังงงกับตัวเอง ฉันละล่ำละลักบอกขอโทษจริง ๆ เพราะไม่ทราบว่าน้ำตรงนั้นลึกมาก ๆ เธอบอกว่า เมื่อก้าวลงไปนั้น รู้ว่าดิ่งลงไป จนเท้านั้น
แตะพื้นดิน และ ด้วยสัญชาติญาน นั้นทำให้ทะลึ่งขึ้นมา และในจณะเดียวกัน ก็มีคนมาดึงขึ้นไป เธอ
บอกได้เท่านี้ ยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และ เธอก็ร้องไห้ ฉันมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุก ตกใจ และ กลัวจะโดนดุ ที่พาหลานของบ้านตรงข้าม มาเที่ยว และเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้ง ซะที่นีแล้ว ถ้าเรื่องร้ายเกิดขึ้น ฉันคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว

ไม่นาน หลายคนก็เริ่มพูดกัน และ คุณป้าของเพื่อนก็มาจูงมือกลับบ้าน เราเปียกปอน และ เธอก็ตัวสั่นด้วยความตกใจ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็รู้สึกผิด แต่ ก็ได้ขอบคุณเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นเพื่อนแถวบ้านเช่นกัน เค้าช่างมีสติ และมีความกล้าหาญ ที่ตัดสินใจเข้ามาช่วยในครั้งนี้ นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ฉันขอบคุณอย่างจริงใจ และจะไม่ลืม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เลย เพราะมันเป็นวันสงกรานต์ ที่เกือบโหดร้าย ต่อฉันและเพื่อนซะจริง ๆ แต่ โชคยังดี ที่ไม่เกิดขึ้น

วันต่อมา เด็กหญิงบ้านตรงข้ามก็กลับไป โดยไม่ได้ร่ำลา กัน เค้าอาจจะโกรธฉัน อืม ไม่ทราบสินะ
และจากนั้น เธอก็ไม่เคยถูกอนุญาตให้กลับมาเที่ยวที่ตลาดเราอีกเลย ...

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ที่รัก ( Dearest)


มานั่งใกล้ใกล้ฉันสิที่รัก
ฉันจักอิ่งไหล่กับแผ่นหลัง
สบสายตาอ่อนหวานอีกสักครั้ง
พร้อมกับนั่งกุมมือมาใกล้ใจ

จะสัมผัสอ่อนละมุนอย่างช้าช้า
ใจไม่กล้าคิดถึงเวลาไหน
เผื่อสักวันฉันอาจต้องทำใจ
เวลาที่จากไกลไม่พบกัน



             

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กินข้าวกันไม๊


กำลังนั่งทานข้าวอยู่ จู่ ๆ เพื่อนก็โผล่เข้ามา

" อ้าว เฮ้ย ทานข้าวด้วยกัน มะ "  ในใจพูดว่า...ถามไปงั้นแหละ

" เออ ก้อดีเหมือนกัน"    ในใจพูดว่า....อ้าว มันกินจริงแฮะ

" ฮื่อ"    ในใจพูดว่า.....ดูมันดิ นั่งกินเฉยเลย

" อั้ม อั้ม อร่อยดีว่ะ" .... น่าน มันกินของตู เกือบหมดเลยอ้ะ

" เอ้อ"   ...ในใจ...เฮ้อ

"อิ่มและ" 

"อ้อ"

" ไปและ"

"เอ้อ "

"ฮื่อ ฝากจานด้วยนะ จะรีบ"

"หา"... "เออ"

"บาย"

" เหอ....เฮ้อออออออออ"

จบ...

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไปไหนมา

"ไปไหนมาน่ะ " เวลาเดินผ่านคนแถวบ้านตะโกนถาม
" อ๋อ ...เปล่า ไปแถวโน้นมาน่ะ"  ตอบไปแกน ๆ ไม่มีความหมาย และผู้ถามก็ไม่คาดหวัง ในคำตอบ

"กินข้าวกันไม๊" เวลาไปธุระแล้วบังเอิญเค้ากำลังทานข้าวกันอยู่
"เชิญเถอะจ้ะ ขอบคุณ" แต่ไม่เห็นกล้าร่วมวงซักครั้ง ยกเว้นเป็นญาติสนิท

"เอ๋ ทำอะไรอยู่น่ะ" ผู้คนมักจะถามก่อนเสมอ เวลาจะเข้ามาทักทาย
"อ๋อ ก็ ทำไอ้นี่อยู่ไง" ผู้ถูกทัก มักจะตอบไปแกน ๆ อย่างนั้น แหละ

"โอ๊ะ ได้ข่าวว่าจะแต่งงานใช่ไม๊ เอ๋ จะร่วมหอลงโลง แล้วน๊า อิอิ"
"อืมมม ค่า แค่ร่วมหอ อย่างเดียวนะคะ ไม่ลงโลงฮ่ะ " ฮาาาา

" มะ มา มา มากินข้าวกินปลาก่อนนะ "
" อ้า ได้เลย เหล้า ยา ปลาปิ้ง ด้วยนา พี่" แบบ นักเลงบ้านนอกเค้าคุยกันน่ะ

" พี่ พี่ ทางนี้ไปทางไหนอ้ะ "
" อ๋อ ก็ไปทางโน้นไง"
" อ้ะ งง แล้วทางโน้น น่ะ มันไปทางไหนเหรอ"
" เอ้อ ก็นั่นน่ะสิ"

At Least...

At least...you care for me
I can be here for you forever
At least...you have only me
I feel lucky more than over

So, please come to be by my side
Say lightly that you love me...
and...have no others...

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Sit down please....

Sit down  Please....
I need to be by your side...
I need to see your eyes....
    Please come to be my sunshine...
    I would like you to touch me lightly
    Hold your hands close to me
        Cause we may be don't see again


มานั่งใกล้ใกล้ฉันสิที่รัก
ฉันจักอิงไหล่กับแผ่นหลัง
สบสายตาอ่อนหวานอย่างจริงจัง
พร้อมกับนั่งกุมมือมาใกล้ใจ

จะสัมผัสอ่อนละมุนอย่างช้าช้า
ใจไม่กล้าคิดถึงเวลาไหน
เผื่อสักวันเราอาจต้องทำใจ
เวลาที่ห่างไกลไม่พบกัน


   

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันแรกที่เริ่มเย็น

ยามเช้าที่สดใสย่างกรายเข้ามา ท้องฟ้าสะอาดกว่าเมื่อวาน แสงแดดสว่างโพลน อากาศเย็นโชยมาสัมผัสหน้า มันทำให้เรารู้สึก ถึงวันเก่า ๆ คล้ายกับว่า เวลา หรือเหตุการณ์ ของวัน ก่อนโน้น ตั้งแต่ไหนต่อไหน กำลังลอยกลับมาลูบไล้รอบตัวเราอีกครา มันเป็นความรู้สึกที่แปลก แต่เราก็คุ้นเคย เหมือนกับว่า เวลานี้ของเมื่อวาน กำลังกลับมาทักทายเราอีก ในส่วนลึก ๆ เราปิติ และยินดีต้อนรับ บรรยากาศเหล่านี้ เหมือนคนที่คุ้นเคยมาเยี่ยมเยือน อืม...อากาศที่เย็นสบาย โชยมารอบตัว เหมือนกับกำลัโอบกอดเราด้วยความคิดถึง มันเป็นความรู้สึก ที่เราสัมผัสได้ และรู้ว่า วันนี้เป็นวันแรกของฤดูหนาว ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา ไม่รู้สินะ สัมผัสแบบนี้ทีไร ก็รู้ว่า ไม่ช้า ฝนก็จะสั่งลาฟ้าแล้ว แบบ ปลายฝน ต้นหนาว น่ะ เรารู้สึกดีทุกครั้งที่ลมหนาวโชยมา ความอบอุ่นในสายลมหวล ความแปลกหน้าที่คุ้นเคย ความแตกต่างที่กลมกลืน ธรรมชาติที่สั่งลา พร้อม ๆ กับการหวลคืนของ วันที่หายไป อย่างไรก็ตาม เราก็รู้สึกดี และ ยิ้มต้อนรับ เสมอ ....สวัสดีหน้าหนาว

ลมจะไล้ใบหน้าอย่างช้าช้า
ฟ้าจะส่องแดดจ้ากว่าวันไหน
มวลใบไม้จะเขียวสดกว่าวันใด
บอกว่าใช่หน้าหนาวถึงคราวมา

     ห้วงสำนึกระลึกภาพวันเก่าเก่า
     เหมือนเรื่องเล่าแว่วผ่านมาข้างหน้า
     คล้ายวันวานย้อนม่านกาลเวลา
     ในบรรยากาศเดียวกันกับวันเดิม

เป็นความรู้สึกดีดีแต่เสียดาย
สิ่งต่างต่างทั้งหลายคล้ายเพิ่งเริ่ม
แต่บางสิ่งกลับหดหายไม่ต่อเติม
เป็นภาพเดิมในวันแรกที่เริ่มเย็น...

      เช้านี้เป็นวันที่สดใส 
      แต่ใบไม้บางใบกลับหลบเร้น
      เพื่อรอปลิดขั้วใบที่ไหวเอน
      เป็นกฎเกณฑ์ความมีอยู่ และ หมดไป ไม่จีรัง..

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝน กับกาแฟดำ

บ่ายแล้ว  อากาศที่ร้อนอบอ้าวเมื่อเช้า ก็ส่งผลให้ฟ้าครึ้ม เมฆมัวหม่นในตอนบ่าย และไม่ช้า ฝนก็โปรยปรายลงมา ...

ดื่มกาแฟร้อน ๆ สักถ้วยดีกว่านะ ว่าแล้วก็ชงกาแฟดำ ใส่น้ำตาลคาราเมล สักครึ่งช้อน ถ้วยบาง ๆ กระทบจานรอง ดังกรุ๊บกริ๊บ ก็แค่เสียงกระเบื้องกระทบกัน ในห้องที่เรานั่งอยู่ ก็รู้สึกว่าดังมากแล้ว เรานั่งจมตัวเองลงในโซฟาสีครีม ยื่นขาทอดขึ้นไปที่โต๊ะด้านหน้า ตัวงอคล้ายกุ้งที่ลวกน้ำร้อน หากแต่ขาที่พาดสูง ทำให้เราผ่อนคลายอย่างประหลาด

ใช่...ในห้องนี้ มันเงียบ แต่เย็นจากเครื่องปรับอากาศ และมีกลิ่นอวลของกาแฟดำ อืม... มันหอมมาก ๆ เลย

เราทอดสายตาออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นถนนใหญ่ ฝั่งตรงข้าม มีม้านั่งริมทางตัวสวย เราชอบมองบ่อย ๆ เพราะ ม้านั่งนั้นทาสีขาว ด้านหลัง มีรั้วไม้ระแนง เตี้ย ๆ ทอดเป็นแนวยาว ร้านตรงข้ามเค้ายังปลูกต้นไม้พุ่ม พวกโมก ไว้เป็นแนวยาวตลอดรั้ว และด้านข้างของม้านั่ง นั้น ยังมีต้นไม้ต้นเตี้ย ๆ แต่แผ่กิ่งกว้างพอที่จะให้ร่มเงา ได้ อยู่ต้นหนึ่ง ภาพนี้ มันงดงามทุกครั้งที่เราเหม่อมองออกไป แม้ไม่ตั้งใจ

แต่ตอนนี้ ฝนกำลังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ยังไม่ถึงกับตกหนัก มีใครหลายคนพากันวิ่งบ้าง เดินบ้าง เพื่อหลบฝน บ้างก็กางร่ม แล้วเดินเร็ว ๆ จากไป ภาพที่สดใส ก็พลันพร่ามัว ด้วยสายฝน แต่มันก็งดงามนะ เหมือนภาพวาดอย่างไรอย่างนั้นเลย เราชอบมอง เสียงเม็ดฝนเริ่มตกมากขึ้น  กระทบหน้าต่าง จั้ก ๆ ๆ ทำลายความเงียบลง เราจิบกาแฟอุ่น ๆ โดยไม่ละสายตา ไปจากหน้าต่าง สายฝนฉาบทากระจก จนทึบคล้ายม่านสีเทา กางกั้นสายตาเราจากม้านั่งตัวนั้น หากเรายังคงเห็นประกายของม่านน้ำระยิบระยับ อืม อย่างน้อย ก็ช่วยให้รสชาติกาแฟดำ มันหอมหวล และ รู้สึกอบอุ่น ในความเยือกเย็น มัน ทำให้จิตใจเราปล่อยวาง สงบ เป็นความแตกต่างที่กลมกลืน

กาแฟหมดถ้วย แล้ว แต่เหมือนใช่้เวลานานเหลือเกิน กว่าจะดื่มหมด เราอาจกำลังดื่มด่ำ กับความสงบกระมัง ฝนก็วาลงแล้ว ต้นไม้กลับดูสดเขียวกว่าเดิม ม้านั่งสียิ่งขาว น้ำนองที่ทางเท้า ผู้หญิงบางคนเดินกระโปรงลีบ มีน้ำหยดเป็นทาง อืม วิถีชีวิต ก็เริ่มอีกแล้ว ไม่นาน ม้านั่ง ก็มีคนมานั่งอีก

อย่างน้อย วันนี้ ก็เป็นอีกวัน ที่ดี เพราะทำให้กาแฟนั้น น่าดื่มกว่าวันไหน ๆ และเรามีความสุขจัง

อย่างน้อย....
กาแฟ กับต้นไม้ และม้านั่ง
กับบางครั้ง ภาพผ่านอย่างช้าช้า
หากติดตรึงอยู่ในใจ ในสายตา
รู้สึกว่าสุขใจนั้น...เป็นฉันใด

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เวลา และระยะทาง

คืนนี้ไร้เงาจันทร์แจ่มกระจ่าง
เลือนลางจางแสงที่แดนสรวง
คล้ายน้ำตาปริ่มล้นมาท้นทรวง
หรือแค่ลวงหลอกเล่นเป็นบางครา

       เพราะเราคงคิดถึงใครคนหนึ่ง
       คนที่ซึ่งกลับกลายเหมือนหายหน้า
       คนที่เคยเข้ามาอย่างช้าช้า
       ให้รู้ว่ารักและคิดถึงซึ้งอย่างไร

เวลา...ระยะทาง...พาหายห่าง
มีช่องว่างให้ร้างไกลไม่หรือใช่
จึงไม่มีบทสรุปเป็นเช่นไร
ทำให้ใจไหวหวั่นและสั่นคลอน.


        

ความสวยงามของท้องฟ้ายามเย็น

เย็นนี้ เป็นอีกเย็นหนึ่งที่ดวงอาทิตย์งดงาม หากมองจากสะพานสูง ทอดสายตาลง จะเห็นแนวแสงอาทิตย์ใกล้อัศดง ดวงกลมโต หลบซ่อนหลังหมู่เมฆ หากส่องแสงแผดจ้านวลตา เปล่งประกายทั่วท้องฟ้ายามเย็น ทำให้หมู่เมฆสว่างโพลน มีเงาดังภาพฝัน แสงนั้นสะท้อนลงแผ่นน้ำ เป็นประกายทองสว่าง ต่างจากอาทิตย์ตกดินในฤดูหนาว ที่ดวงกลมนั้นเคยโตแดงกล่ำ อยู่ด้านซ้ายมือ ของสะพานสูง หากวันนี้แสงนั้นราวแพรไหม ระยิบยับเหมือนจะร้อนแรง หากไม่ร้อน และยังคงพลังของความสว่างไสว เหมือนจะบอกว่า ยังคงเข้มแข็งแม้จะลาลับขอบฟ้านะ เราอาจจะเรียกว่า แสงทองทาบทาขอบฟ้า ก่อนอำลาแวววัน แล้วเราจะพบกันใหม่ในไม่ช้า ....


เราจะเข้มแข้งเหมือนแสงที่ลาลับ
พร้อมจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่ง
สาดแสงสีบรรเจิดเริดจรุง
เป็นสายรุ้งส่องทางระหว่างวัน

     เพื่อให้เราก้าวไปข้างหน้า
     เพื่อให้เราฟันฝ่าหนทางฝัน
     เป็นวิถีเรียบง่ายในแวววัน
     เป็นกำนัลที่ยิ่งใหญ่กว่าใดเอย


     

ดึกแล้ว

ดึกแล้ว....

ที่แนวฟ้าราตรีมีดาวระยิบ
วิบวิบวับระยับพร่างกลางเวหน
หากห้วงใจยังรู้สึกเหมือนมืดมน
ยังอึงอลสับสนไร้หนทาง

        ฉันก้าวไปในเงาที่ไร้ตัวตน
        เธอล่องหนเร้นกายคล้ายเหินห่าง
        ค่อยค่อยเลือนลบหายคล้ายควันจาง
        มีบางครั้งคล้ายผิวเผินบังเอิญเจอ

ในไม่ช้า...เราจะกลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก
 เป็นคนเคยรักเคยพร่ำเพ้อ
เพราะฉันอาจปล่อยใจให้เผลอเรอ
สุดท้ายก็รักเก้อเพ้อคนเดียว

         ที่รัก...ดึกแล้วนะ
         ฉันจะหลับตาลงในคืนเปล่าเปลี่ยว
         ฉันจะส่งความคิดถึงเพียงฝ่ายเดียว
         เพราะเธอมาพันเกี่ยวในเสี้ยวใจ

ฉันจะมีเธออยู่ในความฝัน
กุมมือกันในอ้อมกอดจวบวันใหม่
จนรุ่งรางดวงดาราจะคลาไคล
หลอมดวงใจมอบรักภักดิ์แด่เธอ.

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คืนนี้

คืนนี้....
จะนับดาวได้สักกี่ดวง
ในเมื่อท้องฟ้ายังมัวหม่น
อีกทั้งมีลมฝนอยู่ประปราย


คืนนี้....
เราคงจะนับดวงดาวไม่ได้
เพราะในใจยังวุ่นวายคล้ายคล้าย
มีหลายสิ่งหลายอย่างค้างคา
เหมือนดวงดาราพร่างพรายในสายฝน


ฉะนั้น....
จงข่มตาหลับเถอะนะคนดี
รอราตรีหน้าเยือนมาอีกหน
รอท้องฟ้าไร้เมฆมืดมัวหม่น
รอฝนสุดท้ายลับไปที่ปลายฟ้า


แหละเมื่่อนั้น....
เราจะก้าวผ่านฝันอันเจิดจ้า
มองเห็นหมู่ดาวดารดาษกระจ่างฟ้า
ระยิบยับวับวิบลิบลับตา
กล่อมวิญญานิทราฝันอันแสนเพลิน



ฝนตกคืนนี้

เป็นอีกค่ำที่ฟ้าฉ่ำเม็ดฝน
ทมึนบนเมฆเคลื่อนเกลื่อนฟ้ากล่ำ
ปฐพีคลุมรอบครอบม่านดำ
หรีดหริ่งพรำระบำร้องระงมไพร




ทิวเทือกเขาเงาตะหง่านอยู่ด้านโน้น
ที่ตาดโตนโตรกตรงน้ำตกไหล
เสียงสาดซัดเซาะซอนอยู่ไม่ไกล
ดอกไม้ไพรกำจายกรุ่นละมุนทรวง



คืนนี้ไร้เงาจันทร์แจ่มกระจ่าง
เลือนลางจางแสงที่แดนสรวง
คล้ายน้ำตาปริ่มล้นมาท้นทรวง
หรือแค่ลวงหลอกเล่นเป็นบางครา




เมื่อตอนหัวค่ำ ท้องฟ้ายังใสกระจ่างอยู่เลยนี่นะ กลางป่าทึบเนี่ย มีแต่เสียงหรีดหริ่งดังระงม บางทีก็เสียงดังกราว ๆ น้ำไหลอยู่ริมเต๊นท์ ที่เราตั้งไว้ อืม ..ไม่มีไฟฟ้าในป่านี้ หากแต่แสงตะเกียง ที่เราเตรียมมา และ ไฟในเตาที่เราก่อ คงโชนแสงในค่ำคืนนี้ แต่แสงจันทร์ข้างขึ้น ก็งามหยอกใคร ส่องแสงให้เราหลงใหล ลอดไล้แนวไม้ลงมาทั่วบริเวณ ทำให้เราเห็นชัดแม้ตัวหนังสือ คล้ายแสงเทียนจาง ๆ เย็นตา แต่ก็อดเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ เป้นบางครา เพราะรอบกายไม่มีใครนอกจากเรา

เราชงเครื่องดื่มอุ่น ๆ มาล้อมวง และหยิบยื่นให้ผู้มาเยือน คือลุง และป้า แก่ ๆ ที่รับอาสาเป็นคนเฝ้าป่า กินเงินเดือนลูกจ้างชั่วคราวของกรมป่าไม้ แกเห็นเรามาเดี่ยว เลยมาทักทาย และอยู่คุย เป็นเพื่อน  จนเครื่องดื่มหมดถ้วยนั่นแหละ แกก็ลากลับ ไม่ลืมกำชับว่า ให้ติดไฟในเตาไว้ตลอด เผื่อมีสัตว์ใหญ่ แวะเวียนมา ..อึ๋ยยย...ไม่ต้องมาก็ได้นะ เราคิด ...


ในที่สุด เราก็หลับไปในอ้อมกอดของป่าใหญ่ และขุนเขาทมึน มันอบอุ่นปนอ้างว้างลึก ๆ ไม่รู้สิ แต่ก็ยังปลอดภัย ในเงื้อมมือเจ้าป่าเจ้าเขา เรารู้สึกอย่างนั้น หากแต่มาสะดุ้งตื่นอีกที ก็กลางดึกแล้ว เสียงฟ้าคำราม และฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ไกล ๆ นี่มันอะไรกันนะ เมืื่่อคืนฟ้ายังแจ่มอวดดาวอยู่เลย ไฉนเปลี่ยนไปเร็วนัก 


เราออกมานอกเต๊นท์ เติมฟืนในเตา และหาผ้าพลาสติกมาปิด เครื่องครัวที่กองไว้ด้านนอก ...
ไม่อาจข่มตาหลับลงได้อีก...


ไม่นาน ฟ้าเกือบสาง..เราเห็นแถบสว่างไกล ๆ เวลาบอกว่าตีห้ากว่า เราออกมายืดเส้นยืดสาย และ ติดไฟตั้งกาน้ำ ...ทำอาหารง่าย ๆ ข้าวต้ม ไข่เจียว ไส้กรอก และผัดผัก มันก็ไม่ง่ายหรอกนะ แต่เราชอบ และ ความเคยชิน ไม่นานก็เสร็จ ฟ้ายังไม่สางเลย แต่ฝนทำท่าจะตกมากเสียด้วยสิ


รีบ ๆ ทานอาหาร ใช้เวลาไม่นานนัก หกโมงกว่า ไม่ได้การและ รีบ ๆ ดีกว่า เก็บของแบบ แทบวิ่งแข่งกับเวลาเลยแหละ ก็ไม่ทันอยู่ดี เปียกซ่กเลย โยน ทุกสิ่งอย่างเข้ารถก่อน เจ็ดโมงกว่า ฝนถึงหยุด กว่าจะได้อาบน้ำเปลี่ยนชุด ก็เกือบ แปดโมง ตัวชื้นไปหมด...


โบกมือลาลุงป้า พร้อมกับมอบบะหมี่ซองที่มีอยู่ ยกให้แกหมด เพราะแกคงอยู่ตรงนี้อีกนาน ไม่ค่อยมีใครมาค้างซักเท่าไร น้ำนั้นมี แต่ไม่มีไฟฟ้า คงเหงาอีกนาน แกบอกว่าเคยติดอยู่ตรงนี้กว่าครึ่งเดือน ตอนน้ำท่วมใหญ่ปีก่อน ไม่มีแม้ข้าวจะกิน ไม่มีใครเข้ามาได้ ก็หวังใจว่า ปีนี้น้ำจะไม่ท่วม เพราะไม่ต้องการให้บะหมี่ของเราเป็นอาหารจานสุดท้ายในป่าลึกคราน้ำหลาก ของลุงและป้า หรอก อยากให้แค่แกกิน และคิดถึงเราผู้มาเยือนคืนหนึ่งในหน้าฝน นี้เท่านั้นแหละ
ลาก่อนค่ะ ป่างาม และลุงป้าใจดี 


วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยังคิดถึงเสมอ

ยังคิดถึงเสมอเธอที่รัก
เพราะตระหนักรักมั่นสำคัญกว่า
เพราะเธอคือคนที่ฉันปักศรัทธา
มอบเวลาหยุดไว้ที่ใจเธอ


         จะแอบอิงไหล่กว้างระหว่างฝัน
         สบตากันหวามไหวหวั่นใจเผลอ
         ยังอบอุ่นซุกกายในแขนเธอ
         หวานละเมอเพ้อผ่านม่านเวลา


                         เราจะยังคิดถึงกันสักแค่ไหน
                         เพราะอยู่ไกลฟ้ากั้นนั้นสุดหล้า
                         หรือเธอเริ่มเปลี่ยนไปใจระอา
                         หรือเพราะว่าเธอมีใครเติมใจเต็ม


                                   เพียงอยากบอกว่าฉันยังอยู่ตรงนี้
                                   ตรงที่ที่ความรักยังคงเข้ม
                                   ตรงหัวใจฟูฟ่องละอองเต็ม
                                   ตรงที่เข็มเวลาเดินช้าลง




       

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

ธรรมชาติ

ฝนสั่งลาฟ้าแดงแห่งคืนนี้
เมื่อราตรีโอบอุ้มความชุ่มชื่น
ตกประปรายคล้ายกันทุกวันคืน
มิอาจฝืนธรรมชาติที่อาจเป็น


             มดเล็กเล็กจะเคลื่อนไหวใต้ถุนบ้าน
             และคลืบคลานกลุ่มใหญ่ให้เราเห็น
             บรรยากาศภายนอกจะเยือกเย็น
             นกกระเต็นบินกลับรังระวังไพร


                           ฟ้าคำรามเป็นระลอกบอกลาแล้ว
                           เพื่อดอกแต้วจะบานรับวันใหม่
                           จนฟ้าเป็นฟ้าหนาวเมื่อคราวใด
                           ลมลามไล้ฝุ่นแดงแฝงฝุ่นดิน


            และเหตุการณ์จะกลับกลายหลายหลายอย่าง
            เมื่อน้ำค้างของวันใหม่ได้หมดสิ้น
            จึ่งนิยายความหลังจะพังพิณ
            เมื่อแผ่นดินสิ้นฝนหล่นโปรยปราย


                              "เขา"ทรุดร่างนั่งลงตรงปลายแคร่
                               ดูดอกแคแห้งหล่นดังคนหน่าย
                               บทเพลงแห่งความหิวพริ้วกำจาย
                             "เขา"ถอนหายใจแผ่วกับแนวนา


  อีกวันแล้วกับแล้งระแหงทั่ว
  รู้สึกกลัวความหิวทั้งที่กล้า
  ธรรมชาติที่เห็นอย่างเป็นมา
  ใช้น้ำตาหยาดชื้นพลิกผืนดิน


                          ชั่ววูบหนึ่งซึ่งเผลอละเมอฝัน
                          ถึงคืนวันวาดหวังยังท้องถิ่น
                          เห็นดอกแคสวยงามยามตกดิน
                          ล้อกระถิน...กับข้าวเขียว...ไม่เปลี่ยวดาย.