วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาเลือกตั้งกันเถอะ

ผ่านหน้าปากซอย ...นักเรียนโรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม เค้าออกมารนณรงค์หาเสียง ตอนเช้า ทุกวัน
ดูแล้วดีจัง เอามาฝากนะ .....
















อ้ะ ช่วยกัน เพื่อชาตินะ....อย่าอายเด็กเค้า

เลือกเบอร์อะไร ก็ตามใจนะ แค่รนณรงค์ให้ไปเลือกอ้ะ โฆษณา google เค้าขึ้นมายังไง ไม่เกี่ยวนะ อิอิ

บรรพที่สี่ ค่ำคืนในเมืองใหญ่

เชียงใหม่... ยามค่ำคืน ก็ยังเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ เงาตะคุ่มของกำแพงเมืองเก่า ทำให้เราหวลคิดถึงภาพ ประวัติศาสตร์ เก่า ๆ แสงไฟยามค่ำคืนของเทศกาล ส่องเมืองให้มีชีวิตชีวา

ฉันยืนอยู่ริมบาทวิถี หน้าโรงแรม เพื่อขึ้นรถสองแถวเล็ก ไปเดินเที่ยวย่านไนท์บาร์ซา อืม..เมืองใหญ่
ยามราตริ สวยงามก็จริงอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยผู้คน และมลพิษจากคลื่นรถ ที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ
อากาศในเมืองไม่หนาวอย่างที่คิด ฉันเพียงแต่เสื้อยืด กับกางเกงสามส่วน และรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง
กับถุงเท้าหนา ก็เพียงพอ รถติดนานจริง ๆ กว่าจะถึง ก็เสียเวลาตั้งนาน  ฉันชอบเดินดูผู้คน มากกว่าซื้อ
ของฝาก เพราะของฝากต่าง ๆ ได้ซื้อตั้งแต่เที่ยวบนเขาโน่นแล้ว วันนี้อิสระ ฉันเดินกลมกลืนไปกับผู้คน
แวะหาอาหารรับประทาน แล้วเดินเรื่อยเปี่อย ซื้อของได้บ้างบางอย่าง และกลับโรงแรมประมาณเที่ยงคืน

เมื่อย่างเข้าวันใหม่ มองจากหน้าต่างห้องพัก จะเห็นพลุที่ถูกจุดเกือบจะพร้อม ๆ กันในที่ต่าง ๆ สวยงาม
ละลานตา ทีวี มีพระเทศน์ เวลาของวันใหม่ ปีใหม่คลืบคลานเข้ามา ไม่นาน เราก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จากการไปเบียดเสียดผู้คนมาค่อนคืน
   ลาก่อนปีเก่า....สวัสดีปีใหม่


                        ค่ำคืน ฉลองปีใหม่ในเมือง
                        พลุพร่างพราวเฟื่องเมืองใหญ่
                        ผู้คนหลายหลากมากไป
                        ฉลองชัยปีใหม่กรายมา


                                  ฉันนั่งอยู่ในห้องเงียบ
                                  เปรียบเทียบระหว่างเมืองกับป่า
                                  กับมองกลุ่มดาวบนฟ้า
                                  และพลุสีสันสว่างจ้า...เต็มฟ้าเอย.


เขียนเมื่อค่ำคืนของปีใหม่ในปีหนึ่ง ที่เชียงใหม่....

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เที่ยวเชียงใหม่ อีกครั้ง

น้ำเป็นร้อยดอยเป็นแสนแดนถิ่นเหนือ
จากยุคเทอร์เทียรี ( Tertiary )ที่ทรุดต่ำ
" หลวงพระบาง" "เพชรบูรณ์"" ผีปันน้ำ"
ล่องเป็นลำธารไหลลงจากพงไพร




                                  ทั้งปิงวังยมน่านลำน้ำตก
                                  โอบล้อมปกนฤมิตรพิศมัย
                                   ดอยแห่งดินแดนล้านนาน่านฟ้าไทย
                                   หริภุญไชยเกรียงไกรหลายร้อยปี




                   
                                                      อินทนนท์ผ้าห่มปกดอยเชียงดาว
                                                      มีช้างน้าว ช้างกระ กล้วยไม้ที่
                                                      อีกเอื้องแซะ ฟ้ามุ่ย เอื้องผึ้งมี
                                                      ไม้สักนี้ ในดงดิบ และเบญจพรรณ




เย็นเอยเย็นยะเยือก
เราจะเลือกท่องไปในแดนฝัน
ระหว่างเดือนตุลา- กุมภาพันธ์
ยอดดอยนั้น น้ำค้างแข็ง แม่คะนิ้ง




                            เมือง"สุวรรณโคมดำ" ลุ่มน้ำกก
                            "เวียงโยนกนาคพันธุ์" นั้นใหญ่ยิ่ง
                            "หิรัญนครเงินยาง" ที่อ้างอิง
                             คือความจริงพญาเม็งรายสถาปนา




                                                  ล้านนาคืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
                                                  หิริภุญไชยเขลางนครอยู่ตอนหน้า
                                                  พระนางจามเทวีวีรสตรีกัลยา
                                                  นี้คืออาณาจักร"นพบุรีศรีนครพิงค์"




เริ่มพอศอหนึ่งพันแปดร้อยสิบสาม
วัฒนธรรมประเพณีที่ใหญ่ยิ่ง
สองร้อยกว่าปีเสื่อมถอยรอยเวียงพิงค์
ต้องพึ่งพิงเป็นเมืองท่าพม่าเมือง




                                จนแผ่นดินกรุงธนฯประกาศกล้า
                                 เข้ากับเจ้ากาวิละคอยหนุนเนื่อง
                                 ประกาศชัยให้ล้านนากลับรุ่งเรือง
                                 มีพลเมืองเป็นชาวไทยสิบสองปันนา




                                                      "ยุคเก็บผักซ้า (ซ้า = ตะกร้า) เก็บข้าใส่เมือง"
                                                       เริ่มประเทืองวัฒนธรรมมากคุณค่า
                                                       ขานเรียก"มณฑลพายัพ"กาลต่อมา
                                                       เสด็จพ่อ ร.5 ผนวกดินแดน
                              


                                                                      เมืองเอยเมืองนิรมิตร
                                                                      เจิดวิจิตรตระการตากว่าใดแคว้น
                                                                      คือสวรรค์มรรคาของเมืองแมน
                                                                      ใครได้แม้นเยี่ยมชมสมใจเอย.

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำทำนายอนาคตโลก

ดินแดนระแหงดาษ             บรรยากาศมืดมัวหมอง
แดดจ้าดั่งทาทอง                ต้องละอองของฟองควัน
ต้นไม้ที่สดเขียว                  ยืนโดดเดี่ยวกระไรนั่น
สัตว์ป่าเข่นฆ่ากัน                ไม่ว่างวันเพื่อหยัดยืน
ทุรชนจะท้าทาย                  อสุรกายจะได้ฟื้น
ท้องฟ้าจะโครมครืน            ประกายปืนประดับดาว
ศาสนาจะปร่าแปรก             คำสวดแทรกบทโศรกเศร้า
นักปราชญ์กลับโง่เขลา       โลกรุมเร้าด้วยโรคร้าย
ชีวิตใช้ชีวิต                           ต่อชีวิตที่วางวาย
ผืนดินแห้งเหือดหาย            ม้วยมลายใต้โลกา
วาดว่ายังมีหวัง                      ด้วยพลังแห่งประชา
ด้วยรักและศรัทธา                ในเวลาโลกซวนเซ
สองกรจะช้อนโลก                ให้คลายโศกด้วยกล่อมเห่
คลายป่วนที่รวนเร                 ยืดเวลากล้าท้าทาย
ดับเดือนที่เดือดพล่าน          ดาวนับล้านกลับแววฉาย
ผิว่าจะเพริดพราย                  ลุล่วงปลายอวสาน.....

มนุษย์

พวกเราเป็นวิญญาณจากห้วงหาว
มากับดาวหมื่นแสนที่แดนสรวง
ลอยลิบลิบขลิบฟ้าที่ว่ากลวง
หล่นในห้วงเวลาของมานุษย์


                          มีเลือดเนื้อมีความเชื่อมีศรัทธา
                          บางเวลามีปรารถนาไม่สิ้นสุด
                          มีอารมณ์ดังกองไฟไว้ประยุทธ์
                          ไม่เคยหยุดอยู่นิ่งเฉยเลยสักครั้ง


                                               ดาวสุดท้ายปลายสรวงหากร่วงหล่น
                                               ก็คงคนสุดท้ายทั้งหลายบ้าง
                                               ลบภาพจริงทุกสิ่งเช่นควันจาง
                                               จึงทุกอย่างแหลกสลาย...คนกลายพันธุ์.

ในฝัน

ในนิยามความลับที่ซับซ้อน
เคยซุกซ่อนรอนร้าวบางคราวไหม
ฝากอารมณ์คมกร้าวในคราวใด
อีกหนึ่งใจสะท้อนกลับเหมือนรับรู้


                               เรามาเป็นคู่กันในฝันไหม
                               ฝันให้ใจถึงใจในคนคู่
                               เถอะคลื่นหมอกดอกไม้ยังกลายภู
                               ให้รับรู้รักในฝันนิรันดร


                                      พบกันในวันหรือคืนว่าง
                                      บนเส้นทางสร้างสรรค์ฝันอักษร
                                      รักพิสุทธิ์ในเส้นสายปลายทางกลอน
                                      ไม่รุ่มร้อนรอนร้าวหรือหนาวเอย....

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ได้เวลาน้ำชา

บ่ายแก่ ๆ อย่างนี้ ชาร้อนสักถ้วยดีไหม อากาศภายนอกอึมครึม มีฝนตกเม็ดเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้
ความร้อนอบอ้าว ลดลง เมื่อมองจากหน้าต่างห้องออกไปด้านนอก เหมือนมองภาพวาด ร้านรวง
ฝั่งตรงข้ามถนน มีรั้วขาวเตี้ย ๆ กั้นด้านหน้า มีต้นไม้ริมทาง และเก้าอี้นั่งสีขาวสะอาดตาตรงทางเท้าด้านหน้า ผู้คนเดินผ่านไปมา บ้างก็รอรถเมล์ บ้างก็เรียกแท็กซี่ บางคนเดินอย่างรีบร้อน ฝนกำลัง
จะตกใหญ่ในไม่ช้า ลมพัดต้นไม้โอนเอนไปมา หญิงสาวพยายามปิดกระโปรงที่ปลิวขึ้นลง เด็ก ๆ สอง
สามคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมทาง ขณะที่แม่ชะเง้อมองรถเมล์

เมื่อมองจากด้านในออกไป ภาพที่ดูรีบเร่ง กลับอ่อนโยนลง อาจจะเป็นเพราะในห้องเปิดแอร์เย็นสบาย
ในยามบ่ายเช่นนี้ กับเก้าอี้นุ่มสบายสักตัว ทำให้ทัศนียภาพภายนอก เหมือนภาพวาดที่เคลื่อนไหว ไม่ร้อน

ฉันชงชาใส่ถ้วยบาง ๆ สีไข่ไก่อ่อน นั่งลงริมหน้าต่าง เอาละ ชาเข้มได้ที่ ยกถุงชาออกวางในจานรอง
กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก กัดขนมปังกระเทียมกรอบชิ้นบาง แล้วดื่มชาขณะอุ่น ๆ เหยียดขายาว ๆ
ออกไปในท่าที่สบายเต็มที่

ฝนเริ่มลงหนาเม็ด ผู้คนต่างวิ่งหลบฝน บ้างยืนอยู่ตามชายคาอาคารร้านค้า สายฝนที่สวยงาม หยาด
ลงบนหน้าต่างกระจกเป็นทาง กระจกเริ่มฝ้ามัว ทำให้มองภาพข้างนอกไม่ชัด อากาศภายในเริ่มเย็นลงอีก ฉันเติมน้ำร้อนเพื่อชงชาอีกครั้ง ในอารมณ์นี้ ความสงบ ความเยือกเย็น กับบ่ายแก่ ๆ กับภาพวาดแห่งชีวิต ช่างงดงามเหลือเกิน

โอ๊ะ... ตายจริง ลืมเก็บผ้าที่ตากไว้ โอย ตายละ นั่นมันผ้าทั้งอาทิตย์ ที่เพิ่งซักเลยนะนั่น....

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพลงใบไม้

ริ้วอ่อนเขียวเกลียวกอดทอดปลายกิ่ง
แพใบทิ้งแนวโค้งเป็นวงกว้าง
เขียวแก่กล่ำแผ่กิ่งระโยงยาง
ทอดเป็นทางร่มเงาให้เราชม


                                เริ่มบทเพลงใบไม้ในวันใหม่
                                ทอถักใยสร้างโลกให้สวยสม
                                จึ่งดอกผลผลิใบได้ชิมชม
                                ราวแพรพรมห่มพสุธาเพลานี้


                                                         ยินสำเนียงเนิบช้าแต่แน่ชัด
                                                         กิ่งสบัดแกว่งตามยามลมที่
                                                         พัดถาโถมถั่งแรงแห่งปฐพี
                                                        น่าแปลกที่ใบบางสะอางตน


เพลงใบไม้พรายพร่างทอดร่างทิ้ง
จะละกิ่งปลิดใบลงใต้ต้น
เพื่อใบใหม่แตกหน่อละออตน
ทอดร่างปนเปื้อนดินเป็นอินทรีย์

                          เพื่อพรรณไม้งดงามในนามหนึ่ง
                          เพื่อผลพึงสดใสในโลกนี้
                          จึงปลิดร่างคว้างลงบนปฐพี
                          เพียงเพลงนี้....จึงทอดร่าง....อย่างทรนง.