วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ของฝากจากแม่

เถอะลูกยาแม่จะหาของมาฝาก
จะข้ามฟากไปยังฝั่งความฝัน
จะเก็บดวงดารา ณ สายัณห์
กับดวงจันทรายามราตรีกาล

              นำมาสานถักทอเป็นล้อรัก
              บรรจงปักด้วยดิ้นใจที่ไหวหวาน
              มาคล้องขวัญกัลยาทิวาวาร
              นะแผ้วผ่านม่านหมอกละอองควัน
         
                     คือของฝากจากใจแม่
                     อาจจะแลไม่เหมือนใครใครนั่น
                     แต่จดจารในสำนึกทุกคืนวัน
                     คือความฝันใฝ่ดีที่ให้มา

                             ท่านบอกว่า....ไม่ต้องมีวันไหนที่ให้แม่
                             ขอเพียงแต่ดำเนินตามอย่างที่ว่า
                             ดำรงชีพปุถุชนคนธรรมดา
                             หากมีค่าควรยกย่องแก่ผองชน

                                      เถอะแม่จ๋าที่อุตส่าห์ฝ่าฟันนั้น
                                      ถึงฝั่งฝันวันนี้ที่กล่าวกร่น
                                      ลูกได้สืบทอดตามบรรพชน
                                      สืบสานตนตามเจตนาค่าพระคุณ

                     มีรอยยิ้มอยู่ในหน้าทุกครานี้
                     แววปราณีและสองแขนแสนอบอุ่น
                     กับอ้อมอกอุ่นไอละไมละมุน
                     คล้ายเคยคุ้นทุกเวลาทุกนาที

                                       จะยินดีต้อนรับเรากลับบ้าน
                                        เอ้านี่ของโปรดปรานทานเสียซี่
                                        แล้วก็มานั่งลงที่ตรงนี้
                                        แม่จะถี่ถ้วนตรวจตราคราตื้นตัน

                       ลูกได้เป็นคนดีที่แม่สอน
                       แม่จะนอนตาหลับสมกับฝัน
                       เพราะชื่นใจที่ได้ตามอย่างนั้น
                       ไม่ต้องคั้นขออื่นใดอย่างไรเลย.

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฉากรักในม่านฝัน

ที่โค้งรุ้งคุ้งเรียวจะเกี่ยวก้อย
มือน้อนน้อยโอบคล้องสองประสาน
ส่งสายตาสบพักตร์จักนิ่งนาน
มอบความหวานหวามไหวแก่ใจเธอ

              จะแผดเผาราตรีคลี่ม่านรัก
              อิงแอบอกปกปักมั่นเสมอ
              จะหนุนนอนแนบต้องสองแขนเธอ
                   หลับจนเผลอถึงวันพรุ่งของรุ่งราง

ฉากรักในม่านฝัน
ราตรีอันดวงดารานภากระจ่าง
สุดสาดแสงส่องดาวยังพราวพราง
ละอองพร่างคล้ายอารมณ์ท้าคมตา

              ที่เรียวรุ้งคุ้งฟ้าจะพาฝัน
              แนวตะวันสาดแสงโสมโคมส่องหล้า
              ปิดฉากรักในสวรรค์มรรคา
              เพรงเวลาค่าเพียงฝัน...เท่านั้นเอง.

I know you but I don't know who you are !

 ฉันรู้จักเธอดี
แต่เธอซิ คงไม่รู้จักฉัน
อยู่ห่างไกลกลับเหมือนอยู่ใกล้กัน
สัญชาติญาณบอกไว้ว่าใช่เลย

               เธอเป็นคนอ่อนไหว
               มองโลกละมัยแม้ไม่เอ่ย
               ความในใจไม่เคยกล่าวกับใครเลย
               อยากเฉลยแต่ซ่อนเฉยไว้ข้างใน

เธอเป็นคนอ่อนโยน
และโชกโชนประสพการณ์ความหวามไหว
มีทีท่าแข็งกร้าวแต่ร้าวใน
ซ่อนหลบไว้ใจร้าวคราวรันทด

              เธออาจจะชอบฉัน
              เพราะฉะนั้นฉันจึงรู้เธอทั้งหมด
              เธอไม่กล้าใช่ไหมไม่ยอมลด
              เกรงจะหมดทิฐิเก่าเคยร้าวราน

ใช่! ใช่ไหมที่กล่าวมา
ก็เพราะว่าเธอมาอยู่ในฝัน
เป็นคล้ายเดือนที่เตือนตามดวงตะวัน
แต่กระนั้น ยังไม่รู้ "Who you are ...."

ไหว้พระจันทร์....ขอจันทร์


จันทร์เจ้าขาจะขอบ้างได้ไหม
ขอว่าใครที่เราคบในภพนี้
ขอให้ทุกทุกคนเป็นคนดี
ขอให้มีเมตตาต่อหน้ากัน

               จะไม่ขอกินข้าวไม่เอาแกง
               แหวนทองแดงไม่ต้องมาหมายหมั้น
               ขอช้างม้าอยู่ในป่าก็แล้วกัน
               ไม่อยากฟันไม้ใหญ่ให้มีเตียง

โขนละครขอไว้ย้อนดูตัว
ว่าดีทั่วเจอชั่วบ้างจะหลีกเลี่ยง
ยายชูยายเกิดให้ไว้เป็นเพียง
เป็นพี่เลี้ยงนั่นคือเงาของเราเอง

               ขอพระจันทร์นั้นมากไปหรือเปล่า
               ขอไม่เหงาใต้เงาจันทร์วันปลั่งเปล่ง
               ไม่อยากมองดวงจันทร์แล้ววังเวง
                ขอครื้นเครงเชิญเพื่อนมาเฮฮาเอย.


วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปลาแห้ง..กับหน้าฝนปีก่อน


เช้านี้ อากาศไม่สดใสเลย ท้องฟ้ามืดทมึนไปด้วยหมู่เมฆสีเทาหม่น " หน้าฝนย่างกรายมาจริง ๆ เสียแล้วกระมัง " นางคิด หญิงวัยกลางคน ใช้หวีสางผมหยิกหยอยให้ราบเรียบ และเสียบไว้กลางหัว
หล่อนหรี่ตามองแผ่นฟ้า เหมือนรู้ทัน ใบหน้ากร้านแดดสีน้ำตาลแดง บอกความโชกโชนต่อชีวิต
ใช่สินะ หล่อนจมปลักอยู่ในกระท่องซอมซ่อนี่ ตั้งแต่สาว จนลูกห้าคนเข้าไปแล้ว ชีวิต ก็ยังเหมือน ๆ กันทุกวัน ตื่นนอนเพื่อออกไปหาอาหาร และซมซานกลับบ้านด้วยเหงื่อไคลที่ไหลย้อย อาจจะมีอาหาร หรือไม่มีกลับมา แต่ทุกคนทางบ้านก็รออยู่

หล่อนไม่น่าจะมีลูกมากเลย แต่ผัวของหล่อนก็ไม่ได้เรื่อง รับจ้างแบกข้าวสาร ที่ร้านในตลาดอยู่ไม่นาน ก็เลิกรา บ่นว่าไม่ไหว เย็นมาก็เอาแต่เมาหัวราน้ำ ไม่สนใจว่าหล่อน และลูก ๆ จะเป็นอย่างไร ภาระตกหนักอยู่ที่หล่อนคนเดียวจริง ๆ

เมื่อปีกลาย ลูกชายคนโต ออกจากโรงเรียนประถม หล่อนให้ช่วยเก็บผักหญ้าแถวริมคลองไปขายบ้าง หาปลาได้บ้างก็ยังดี หล่อนคิดได้เท่านั้นจริง ๆ

" แม่ ฉันจะไปหาปลานะ " เสียงลูกชายแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ปลุกความคิดของหล่อนให้กลับมา
" เออ เดี๋ยวข้าไปด้วย ขืนช้า ฝนคงได้เทกันมากันเท่านั้น " นางพูดพลาง คว้าถังน้ำใบเขื่องมุมห้อง ออกไปสมทบกับลูกชายที่คอยท่าอยู่

"นังศรี เอ็งหุงข้าวให้น้องกินด้วยนะ ปลาแห้งที่แม่เก็บไว้ในถุงน่ะ เอามาตำน้ำพริกกินกันไปก่อน เดี๋ยวสาย ๆ แม่มา คงได้ปลามาเพิ่มละ " นางสั่งเสียกับลูกสาวคนรอง
" จ้ะแม่" ลูกนางรับคำ

คลองชลประทานปีนี้น้ำเต็มเปี่ยม หลวงปล่อยน้ำมามาก ประกอบกับหน้าฝนมาเร็วกว่าที่คิด สองแม่ลูกปักหลักที่ท้ายคุ้ง ใต้ต้นหางนกยูง เป็นประจำ มีใครหลายคนมาหาปลาก่อนหน้าบ้างแล้ว

โครม.... เสียงแหทอดเป็นวงกว้าง นางค่อย ๆ รวบแหเข้ามา "โธ่เอ๊ย มีแต่ปลาซิว" หล่อนรำพึง มองหน้าลูกชายที่มีสีหน้าผิดหวังพอกัน

ครืน ๆ เสียงฟ้าคำรามและไม่นาน ฝนก็กระหน่ำตกลงมา อย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น หล่อนกับลูก ถอยมานั่งขดอยู่ใต้ต้นหางนกยูง ใช่แผ่นพลาสติก คลุมกันพอไม่ให้ฝนชะผม " เดี๋ยวจะไม่สบาย" นางบอกลูกชายอย่างนั้น

นางทอดตาฝ่าสายฝนหนาหนัก ด้วยความว่างเปล่า และอ้างว้าง นัยน์ตานั้นฝ้าฟางไปด้วยหยาดน้ำตา มันผสมกลมกลืนกันไปหมด จนดูไม่ออกว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา นางปล่อยอารมณ์ระทมทุกข์ กับสายฝน ถึงแม้จะสะอื้นออกมาดังๆ ลูกนางก็คงไม่รู้หรอก ว่านางกำลังร้องไห้

" แม่ ฝนหนักอย่างนี้ พ่อเขาไปอยู่ซะที่ไหนนะ ข้าเป็นห่วงจัง" ลูกนางรำพึง
"ช่างหัวพ่อแกเถอะ ไอ้ชาติเอ๋ย มันจะไปเป็นไปตายอยู่ที่ไหน ข้าก็ไม่รู้แล้ว" นางกล่าวสั้น ๆ

นานอยู่เหมือนกัน ที่สองแม่ลูกนั่งรอ จนฝนซาเม็ด จึงค่อย ๆ ออกมาทอดแหดังเดิม แต่ก่อนที่ลูกชายของหล่อน จะวาดแหลงคลอง พลันก็ได้ยินเสียงตะโกนมาไกล

"  รถคว่ำเว้ย รถสิบล้อคว่ำที่ถนนใหญ่"

พวกที่หาปลาริมคลอง อีกสองสามคน ละงาน ต่างวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เพื่อดูเหตุการณ์ นางกับลูก ก็ถลันวิ่งตามๆ กันไป

ถนนใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากคลองส่งน้ำนัก รถสิบล้อเอียงกระเท่เร่อยู่ริมถนนนั่นเอง ปลาแห้งที่บรรทุกมา หกกระจายไปทั่วบริเวณ ชายสองสามคนที่วิ่งมาล่วงหน้า ต่างก้มลงเก็บปลาแห้ง ใส่ทุกอย่างที่มีอยู่ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หล่อนยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ใจสั่นเหมือนจะเป็นลม เมื่อเช้า ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยนี่นะ

ในแว่บหนึ่งของสำนึก หล่อนอยากจะไปดูว่า ยังมีคนเจ็บติดอยู่ด้านหน้าของรถหรือไม่ แต่ขณะเดียวกัน ปลาแห้งที่หล่นเกลื่อนรอบรถนั้น มันช่างมากมายเหลือเกิน

"เก็บของไปขาย คงได้หลายวะ นังหลวย" พวกที่มาหาปลาด้วยกันกล่าว
"เออ ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ" แล้วหล่อนกับลูก ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บปลาแห้งใส่ทั้งถุง และถัง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
"แม่ ข้าว่า ปลาตัวโต ๆ อย่างนี้ราคาคงหลายนะ" ลูกนางว่า
" อือ" นางตอบสั้น ๆ พะวงอยูแต่กับปลาข้างหน้า
"ไปกันเถอะ ไอ้ชาติ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"  นางเรียกลูกชาย

นางลากถุงปลาอ้อมท้ายรถ ใจที่พองโตเพราะลาภก้อนใหญ่ ทำให้ไม่ได้นึดถึงคนเจ็บในรถเลย
"โอย !! ช่วยด้วย" เสียงครางแผ่วเบา ลอดออกมาจากทางด้านหน้ารถ ฉุดให้นางหยุด และหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั้น

ใบหน้าที่อาบด้วยเลือดแดงฉาน ยื่นมือไขว่คว้าอากาศธาตุ ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ หล่อนหยุดยืน
มองดูคนเจ็บที่ติดอยู่ในซากรถ ไม่นึกว่าจะยังมีคนรอด หล่อรวบถุงปลาแน่น เหมือนหวงแหนของที่ตนเพิ่งได้มา ค่อย ๆ ถอยหลังช้า ๆ ขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ร่างนั้น
" ช่วยย....ฉันด้วย อย่า.....เอาของฉันไป"

เสียงนั้นวิงวอน  ขอร้อง

นางหลวย หันหลังให้ภาพนั้น และฉุดลูกชาย ให้เร่งขนปลา ออกจากซากรถโดยไว

" เร็วลูก เดี๋ยวตลาดวาย.....ขายไม่ทัน"

.....................................................................!!!!!!!!!!!!!........................



วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Don't speak..Don't move....Good Bye

ฉันรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย
เธอจะย้ายออกจากบ้าน...จากที่นี่
ที่เราเคยอยู่ด้วยกันมานานปี
ไปตามวิถีทางตนคนเดิมเดิม
                        
                     ฉันมองดูเธอเก็บของกองสุดท้าย
                     ซึ่งของหลายหลายอย่างเคยสร้างเสริม
                     ที่ตรงโน้นเคยแต่งแต้มเคยต่อเติม
                     ใจที่เหิมกลับหดหู่ดูรันทด

รถแท็กซี่คอยอยู่ที่หน้าบ้าน
อีกไม่นานเธอเก็บของกองนั้นหมด
น้ำใสใสในตาเริ่มรินรด
ไม่อาจอดทนฝืนกล้ำกลืนลง

                     ฉันกล่าวคำอำลาว่า "ที่รัก"
                     พร้อมกับฝากจุมพิตพิศวง
                     เพื่อวาระสุดท้ายไม่ลืมลง
                     อยากจะคงซึมซับประทับรอย

ที่รัก....อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายกายให้หายห่าง
           ขอสวมกอดไหล่กว้างอย่างเงื่องหงอย
           ขอจดจำภาพสุดท้ายไว้ในรอย
           และฝากถ้อยคำสุดท้ายก่อนไกลกัน


รถแล่นออกจากบ้านอย่างช้าช้า
หยาดน้ำตาเอ่อท้นเหลือทนกลั้น
ทิ้งหัวใจไปกับรถคันนั้น
คงภาพฝันวันสุดท้ายไม่ลืมเลย.

Don't Speak....

Don't Move....

Good Bye......








วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มนุษย์



พวกเรา...เป็นวิญญาณจากห้วงหาว
มากับดาวหมื่นแสนที่แดนสรวง
ลอยลิบลิบขลิบฟ้าที่ว่ากลวง
หล่นในห้วงเวลานองมานุษย์

               มีเลือดเนื้อมีความเชื่อมีศรัทธา
               บางเวลามีปรารถนาไม่สิ้นสุด
               มีอารมณ์ดั่งกองไฟไว้ประยุทธ์
               ไม่เคยหยุดอยู่นิ่งเฉยเลยสักครั้ง

ดาวสุดท้ายที่ปรายสรวงหากร่วงหล่น
ก็คงคนสุดท้ายทั้งหลายบ้าง
ลบภาพจริงทุกสิ่งเช่นควันจาง
จึงทุกอย่างแหลกสลาย.. คน...กลายพันธุ์.

คืนค่ำที่ริมปิง

น้ำกระเพื่อมเลื่อมรับระยับยิบ
และละลิบทิวไม้ที่ชายฝั่ง
สาดสีแดงแสงสุดท้ายระบายบาง
น้ำค้างพร่างพรมชื้นพื้นผิวดิน

           ในท่ามกลางราตรีที่เคลื่อนคล้อย
           เรือลำน้อยลอยช้าช้าฝ่ากระสินธุ์
           เขาลาเรือขึ้นฝั่งดั่งเคยชิน
           เป็นอาจินต์ของลำน้ำยามสายัณห์
               
                    เราจะคลอขลุ่ยเสียงเพียงแผ่วผิว
                    ไปกับริ้วแม่ปิงงามเพื่อตามฝัน
                     พร้อมรอแสงสีทองของตาวัน
                     จวบจนวันใหม่มาช้าช้าเอย.


       

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความคิดถึง ...ในม่านฝน


พร้อมพร้อมกับการยิ้มเยือนที่เปื้อนหน้า
ส่งสายตาผูกพันฉันมิตรเพื่อน
ฉันมากับคืนวันจันทร์เต็มดวง
มาเพื่อทวงสิทธิ์รักปักศรัทธา
          
        เธอก็เหมือนเพื่อนใจใครคนหนึ่ง
        คนที่ซึ่งยลยินถวิลหา
        คนที่ฝากความหมายในแววตา
        คนที่เคนเกริ่นว่ามาเป็นเงา

หางนกยูงโรยราเมื่อคราฝน
ฟ้าสีหม่นทอดขวางหนทางเก่า
สะพานไม้ปรายน้ำอย่างแผ่วเบา
กับรอยเท้าก้าวขึ้นฝั่งอย่างมั่นใจ

       ฝนเผาะเผาะเหยาะย่างบนลานเรียบ
       ความหนาวเย็นเฉียบเฉียดเราเบียดไหล่
       กับหม่นหมอกละอองฝอยลอยเป็นไอ
       เพื่อละไล่ความหนาวบรรเทาลง

ฉันมากับม่านหมอกละอองฝน
มาเพื่อกร่นกล่าวคำลำเนาส่ง
มาเพื่อทวงสิทธิ์รักอันมั่นตง
ยินดีให้ลงอาญาศรัทธาใจ.












จากใจ ถึงเจ้าพระยา

ทองกวาวปลิดขั้วใบจากปลายกิ่ง
ทอดร่างทิ้งปลิ่วไกวลงสายน้ำ
แดดตากผ้าอ้อมอ่อนบางพลางทอดลำ
เลื่อมลำน้ำแลงามระยับยิบ
    

แพผักน้ำม่วงครามดูหวามไหว
แพงพวยไกวใบบางระยางหยิบ
ฝูงนกน้ำโบยบินอยู่ลิบลิบ
ชมพูขลิบทิพย์เทวีผีเสื้อไพร

                         เราดื่มด่ำกับภาพหวานระยางหยาด
                         ดังภาพวาดมาศวันอันสดใส
                         เจ้าพระยาโอบร่างอยู่กลางใจ
                         อบอุ่นในใจหนาวทุกคราวเอย.
___________________________________________________________................

                                       ลำแดดอ่อนทอดไล้ที่ชายคุ้ง
                                       อยู่ในอุ้งหัตถ์อ้อมล้อมสิงขร
                                       ขมิ้นบ้านจากนามาดงดอน
                                       คิดถึงคอนที่ริมน้ำเจ้าพระยา.....

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แต่ปางก่อน.... Back to the Future

บางเวลาเคยเป็นอย่างฉันบ้างไหม
รู้ว่าใครสักคนที่ค้นหา
มีความหมายแม้เพียงพบสบสายตา
นั้นห่วงหาอาทรด้วยใจจริง
       เหมือนผูกพันกันมาแต่ปางก่อน
       เรื่องเดือดร้อนใดใดไม่นั่งนิ่ง
       เขาจะมายืนเคียงข้างให้พึ่งพิง
       อาจเป็นหญิงหรือชายใครคนนั้น
อาจเพราะกาลครั้งเก่าเราเป็นญาติ
หรือปางชาติเป็นคู่รักสมัครมั่น
หรือเป็นคนเคยหนุนเกื้อกูลกัน
จึงเวียนผันมาประสบในภพนี้
        บางคนมีเพื่อนล้อมกายมากมายนัก
        บ้างจะหาสักคนอับจนเหลือที่
        เกิดจากเมตตาจิตมิตรไมตรี
        ความหวังดีโปรยรอบชื่นชอบกัน
ดังที่ฉันมาพบพวกเพื่อนพ้อง
ทั้งพี่น้องผูกรักสมัครมั่น
แม้ไม่เคยพานพบสบหน้ากัน
มีเพียงฝันฝากใจให้ถักทอ
        จะทอฝันวันใหม่ถักใยรัก
        จะขอปักศรัทธาใจให้เกิดก่อ
        จะตักตวงสุขไว้ให้เพียงพอ
        เพื่อจะต่อเติมบุญหนุนเนื่องนำ
ได้พบใครหลายคนที่ค้นหา
จารไว้ว่า ณ ที่นี้มีค่าล้ำ
เป็นเวลาที่ล้วนควรจดจำ
เพื่อหนุนนำไปเป็นญาติ....ชาติหน้าเอย.

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอนสอนลูก

กระดาษแผ่นเก่า ปิดไว้ที่เสา ด้านหน้าคอมพิวเตอร์ ใช่ มันค่อนข้างเก่า และออกเหลืองแล้ว เพราะติดมาหลายปีแล้ว เขียนไว้ ให้ลูกอ่าน เวลาจะเล่นเกมส์ในเครื่องคอมพ์ฯ นาน ๆ อย่างน้อย ก็คอยเตือนใจ
บ้างละ เขียนไว้อย่างนี้.....

            อันความดีดีชั่วตัวเรารู้
            ดีขึ้นอยู่การกระทำตามคำสอน
            กตัญญูบิดาและมารดร
            เอืออาทรมีน้ำใจให้ทุกคน
                เอาใจใส่หมั่นเรียนเพียรศึกษา
                มีวิชาเกรียงไกรไปทุกหน
                เป็นราศรีสง่างามติดตามตน
                เป็นบุคคลควรค่าน่าภูมิใจ
          หากรักชั่วหามเสาแสนเนาหนัก
          เหมือนถูกผลักลงนรกตกหลายขุม
          เสพเสเพลเกเรเข้าครอบคลุม
          รางร้ายรุมตัวเราเขลาจนตาย
               ขอให้คิดเอาเถิดผู้เลิศเอ๋ย
               อย่าละเลยดีชั่วมัวหลงใหล
               ลองคิดดูจะเลือกเด่นทางใด
               กระจ่างใจใสงามตามอย่างเอย.

อืม...ถึงแม้กระดาษจะเก่า แต่ข้อความยังขลังเหมือนเดิมนะ เดี๋ยวจะพิมพ์ใหม่มาติด ให้ลูกคนต่อไปซาบซึ้งต่อ ....รู้สึกดีจัง.

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นายร้อย เตียงหนึ่ง ห้องที่สาม

ดอกกุหลาบมัดโต หลายมัดที่เพิ่งซื้อจากปากคลองตลาด ถูกหอบหิ้วอย่างพะรุงพะรัง เข้ามาในเขตโรงพยาบาล วันนี้ ฉันกับเพื่อน พากันมาเยี่ยมทหารหาญ รั้วของชาติที่ได้รับบาดเจ็บ จากการสู้รบตามชายแดน ระยะนี้ มีข่าวการสู้รบ กันอยู่เนือง ๆ ทหารมักถูกยิง หรือไม่ก็ถูกกับระเบิด อยู่บ่อย ๆ โรงพยาบาลพระมงกุฎ จึงเต็มไปด้วย ทหารบาดเจ็บ ซึ่งถูกลำเลียง เข้ามารักษาตัววันละหลายราย จนบางครั้ง ไม่มีเตียงพอจะรองรับ

หน้าที่ของนักเรียนอย่างเราเท่าที่จะทำได้คือ แวะเวียนไปเยี่ยม และให้กำลังใจ เท่าที่จะทำได้ เช้าวันเสาร์นี้ก็เช่นกัน  ... เราก้าวเข้าไปในห้องผู้ป่วยรวม หนแรกเป็นความประหม่าอยู่เหมือนกัน ใครก็ไม่รู้ที่
ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน นอนบ้าง นั่งบ้างอยู่บนเตียง คนไข้ทุกคนหันมามอง เราทั้งสอง คือฉันและเพื่อน เป็นตาเดียวกัน บางคนมองแบบแปลกใจ ระคนสงสัย บางคนกรุ้มกริ่ม แนเริ่มกล่าวสวัสดี และเกริ่นว่า มาเยี่ยม และให้กำลังใจ อาจจะด้วยความจริงใจ และความตั้งใจ อย่างที่สุด ทำให้ทหารผู้ป่วยทั้งหลาย คลายสีหน้าลง และเปลี่ยนอากัปกิริยา ให้สุภาพขึ้น ดอกไม้ถูกหยิบยื่นให้คนไข้แต่ละเตียง ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างยินดี
" ฉันไม่มีอะไรมาเยี่ยม นอกจากดอกไม้นี้ค่ะ" ฉันกล่าว
" ไม่มีใครมาเยี่ยมพวกเราหรอก ขอบใจพวกคุณมาก " หนึ่งในคนไข้ตอบ
" คุณโดนอะไรมาคะ" ฉันถาม
" ผมออกลาดตระเวณ ตามหน้าที่ แล้วก็ถูกกับระเบิด...." เขาหยุดชั่วครู่ พร้อมใบหน้าสลด " ขาผม.."
ฉันก้มลงดู ขณะเขาเลิกผ้าคลุมส่วนขาออก ใช่ ขาของเขาถูกตัดทิ้งทั้งสองข้าง
" โอ ฉันเสียใจค่ะ " เราเงียบกันไปพักหนึ่ง
เตียงถัดไป " ผมโดนลอบยิง ที่ชายโครง เกือบแย่"
.ใช่สิ ถุงปัสสาวะห้อยอยู่ปลายเตียง ถุงน้ำเกลือ เหนือเตียง ชี้ให้เห็นร่องรอย เพิ่งผ่านการผ่าตัด กับใบหน้าที่ซีดเซียว ตอบอย่างเบื่อหน่าย
ชายหนุ่มด้านโน้น นั่งแกว่งเท้าอยู่บนเตียง แสดงอาหารของคนไข้อาการไม่หนักหนา เขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และชอบพูดคุย อีกทั้งคอยฟังเรื่องที่เราจะถาม และยินดีที่จะตอบ เราทุกคำถาม แต่แขนข้างซ้าย ของเขา ตั้งแต่ข้อศอกลงมาถูกตัดทิ้ง กระนั้น เขาก็ยังมีแววตาที่กระตือรือล้น ช่างเป็นชายหนุ่มที่มีจิตใจเข้มแข็งเสียจริง ฉันคิด

เราเดินเข้า และ ออก แต่ละห้องพักผู้ป่วย จากห้องหนึ่ง ไปอีกห้องหนึ่ง เรื่อยมา จนมาถึง

เตียงหนึ่ง ห้องที่สาม

ห้องนี่ มีอยู่สองเตียง มีเพียงเตียงแรกเท่านั้น ที่มีคนไข้ ชายหนุ่ม นอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียง เขาเลิกคิ้วมองพวกเราอย่างสงสัย ฉันและเพื่อนกล่าวทักทาย เขาพยายามลุกขึ้น แต่ไม่เป็นผล นัยน์ตาคมกริบนั้น บ่งบอกถึงความเจ็บปวด
" โอ๊ะ ไม่ต้องขยับหรอกค่ะ ดูท่าทางคุณยังเจ็บปวดอยู่มาก "
" ใช่ ผมถูกกับระเบิด มันมืดมนไปหมด เวลานั้น " เขาเล่าเรื่อย ๆ
" ผมนำกองทหาร ออกไปปะทะกับพวกมัน แล้วผมก็พลาด " เสียงของเขาเหมือนกลืนก้อนแข็ง ๆ
" มารู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว "
เขาคงเพิ่งถูกนำตัวมาแน่ ๆ ฉันคิด ผมยาวรุงรัง หนวดเคราปิดบังใบหน้า แต่ไม่ได้ทำให้ ความสง่างามของชายหนุ่มลดลง เขาเป็นทหารที่บุคลิก และหน้าตาดีที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่เห็นมา โดยเฉพาะ ดวงตากลมโต ภายใต้คิ้วดกดำคู่นั้น สวยงามอย่างประหลาด อ่อนโยน พอ ๆ กับความเข้มแข็ง ใช่ เขาคือนายร้อยหนุ่มผู้ทีอนาคตไกล ร้อยเอก.....นามสกุล.....เอ๊ะ คุ้น ๆ
" ใช่ พ่อผมเป็นทหารใหญ่ในกองทัพ " เขาเดาสายตาฉันออก ขณะกำลังอ่านชื่อที่ปลายเตียง
" ผมเป็นลูกชายคนเดียวของท่าน ได้เป็นทหารอย่างท่าน แต่ไม่เก่งเท่าพ่อ" เสียงเขาขมขื่น
ขณะนี่ เขานอนนิ่งอยู่บนเตียง เพราะสะเก็ดระเบิด เข้าสันหลัง มีผลต่อระบบประสาท เขาต้องรอการผ่าตัด
" ทหาร เวลาสงคราม ดูเหมือนพวกเราจะสำคัญขึ้นมาทีเดียว และโยเฉพาะเวลาที่เราตาย " แววตาของเขาส่อประกายกล้าขึ้นมาแว่บหนึ่ง
" แต่พวกเราเห็นความสำคัญของพวกคุณนะคะ" ฉันกล่าว
" ขอบคุณครับ " แล้วน้ำเสียงเขาก็กลับร่าเริงอีกครั้ง
" เดี๋ยวคุณมาเยี่ยม คราวหน้า ผมคงได้ตัดผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วละครับ " ใบหน้าอมยิ้มร่าเริงสดชื่น
พอ ๆ กับแววตา ฉันและเพื่อน กล่าวลา และปลีกตัวออกมา

กุหลาบดอกงาม ๆ ที่ถูกปลิดหนามออกแล้ว ถูกรวบกำโตในมือ วันนี้ จะไปเยี่ยมทหารที่โรงพยาบาลละ

ฉันก้าวเท้าเข้าเขตโรงพยาบาล ดวงตากลมโต ในวงหน้าคมเข้ม ลอยอยู่ในห้วงสำนึก ฉันมายืนที่หน้าห้องที่สามตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ รู้สึกดีใจที่จะได้พบนายร้อยคนนั้นอีก ผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือ พร้อมกับยิ้มกว้าง เอ๊ะ หากแต่บนเตียงที่หนึ่งกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาของชายหนุ่ม ฉันเคว้งคว้างอยู่นิดหนึ่ง " เอ้อ คนไข้เตียงนี้ หายไปไหนคะ คุณพยาบาล " ฉันถามพยาบาลสาวที่เดินผ่านมาพอดี
" เค้าสิ้นลมแล้วค่ะ เมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง " เธอตอบเท่านั้น แล้วเลี่ยงออกไปนอกห้องด้วยภาระที่ต้องทำ ม่านน้ำตาเอ่อท้นขอบตา ฉันกรีดออกอย่างรวดเร็ว และกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่ความงุนงง

เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ที่เขาบอกว่า จะตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย หน้าคมเข้ม ยังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข มาวันนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว สงคราม พรากชีวิต จากพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนฝูง สงคราม ทิ้งความว่างเปล่าที่ร้าวรานไว้เบื้องหลัง และฉันก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เข้ามาสัมผัส ผลของสงคราม แม้จะเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งก็เถอะ

ฉันวางดอกกุหลาบดอกหนึ่งไว้หัวเตียง เพื่อไว้อาลัยให้ชายหนุ่ม....

ในความรู้สึก ....นัยน์ตาสวยคู่นั้น ยังจ้องมองฉันอยู่...ช่างงดงามเหลือเกิน....

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เช้านี้ อารมณ์ดี ได้ยิงคน

เช้านี้ รถลาดูไม่ขวักไขว่เหมือนทุกวัน ฉันขับรถอย่างสบาย ๆ ไม่รีบเร่งเท่าใดนักบนทางด่วน  อากาศภายนอก
ก็ดูสดชื่นดี แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เมื่อมองออกไปแล้ว ทำให้อารมณ์แช่มชื่นดีเหลือเกิน ฉันเปิดเพลงเบา ๆ และคิดอะไรเพลิน ๆ
 
ขับรถมาได้ครึ่งทางแล้วสินะ รถคันข้างหน้า คือรถสปอร์ตไรเดอร์คันใหม่สีตะกั่วตัด รู้สึกว่าจะขับนำรถของฉันมาตั้งแต่ต้น ฉันรักษาระยะห่างประมาณ 20 เมตร และตอนนี้ บนถนนก็ดูเหมือน จะมีรถเพียงสองคันเท่านั้น แต่เอ๊ะ
สองคนที่อยู่ด้านหลังของรถนั่น กำลังทำอะไรอยู่นะ เค้ามองจ้องมาที่เรา ให้ตายสิ... มันกำลังยกปืนขึ้น แล้วเล็งมาที่ฉัน ฉันใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือไวเท่าความคิด ฉันล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือใกล้ตัว คว้าปืนคู่ชีพ ออกมากำแน่น

" เปรี้ยง" มันยิงเข้ามาแล้ว กระจกหน้ารถแตกกระจาย ลูกกระสุนถากศีรษะไปนิดเดียว ฉันยิงสวนออกไปทันที สองนัดซ้อน หนึ่งในสองคนนั้น บิดตัวไปมา ทำท่าเจ็บปวด คงถูกกระสุนของเราเข้าแล้วสิ แต่อีกคนก็ไวทันกัน
ยิงสวนกลับมา โอ๊ะ ถูกไหล่ฉันเข้าให้แล้ว เจ็บแปลบที่ต้นแขน อะไร กันนะ พวกมันจะทำอะไรกัน เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ต้องสู้กันหน่อย ฉันเบนหัวรถเข้าไปใกล้ ๆ แล้วเล็งปืนไปที่อีกคนที่เหลือ ยิงจนหมดกระสุน และได้ผล อีกคนชักดิ้นชักงอ ทำท่าล้มลงจมกองเลือด ฮะฮ่า... มันตายกันหมดแล้ว...

ฉันเป่าปลสยนิ้ว เหมือนเป่าควันที่ปลายกระบอกปืน พร้อมกับยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ แล้วเด็กชายสองคนที่ทำท่าชักดิ้นชักงอ เมื่อครู่ ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพิงดระจกหลัง เด็กอ้วน และเด็กผอม หน้าตาบ้องแบ้ว แสนซน อายุประมาณ 8-9 ขวบ ยกมือยอมแพ้ เป็นการจบเกมส์  แล้วยิ้มกว้าง ๆ ตอบฉัน ฮั่นแน่ ในที่สุก พวกเธอก็แพ้ฉันอยู่ดี

ฉันดีใจกับชัยชนะครั้งนี้ เจ้าเด็กจอมแก่น เอ๋ย ไปก่อนละ บ๊ายบาย ฉันโบกมือให้ แล้วเร่งเครื่อง แซงออกมา ดูเหมือน ชายคนขับรถ จะเป็นใจ ให้ลูกของตน เล่นกับฉัน จนพอใจเช่นกัน.

เช้านี้ ฉันจึงอารมณืดีเป็นพิเศษไง ที่ได้ยิงคน เอิ๊ก ๆๆๆ

ฝน... กับความคิดถึง

ความคิดถึง
คงจะซึ้งถ้าอยู่ท่ามกลางสายฝน
เราปรายตาอย่างช้าช้าประหม่าตน
มองหาคนเคยคุ้นลุ้นให้เจอ

กรีดน้ำฝนปนน้ำใสปลายพวงแก้ม
ทำยิ้มแย้มกับเสื้อไหวไหวใครที่เผลอ
บังเอิญผ่าน เขาทักทาย "ไง..เพื่อนเกลอ"
เราคนเพ้อ รู้สึกเบลอร์ เก้อไปเลย

ที่ว่าแน่ อย่างดีก็แค่เป็นเพื่อน
ต้องกลบเกลื่อนหลังม่านฝนทนเฉยเฉย
เสยผมหมาด...ปากน้ำตา ...ช้าช้าเลย
ลาแล้วเอย..วันฝนพรำ...จำไปนาน

นิยายฝนบทนี้ไม่มีซึ้ง
กับคนซึ่งซึ้งผ่านม่านความฝัน
ฝนเวหาศ...ปราศรักจักผูกพัน
ก็แค่ฝัน..แค่คิดถึง...ซึ้งคนเดียว.

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไก่ของน้า





"กุ๊ก ๆๆๆๆๆ" ฉันนั่งดูน้าเล็ก โปรยข้าวเปลือกให้แม่ไก่ ยามเย็นที่บ้านยาย

วันนี้ แม่พาพวกเรามาเยี่ยมยายที่บ้านเหนือ เพราะบ้านยายอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ ติดกับวัดเหนือ เป็นบ้านทรงไทยยกพื้นสูง หันหน้าบ้านไปทางแม่น้ำ ใต้ถุนบ้านเลี้ยงหมูแม่พันธุ์สองสามตัว และมีลูกเล็ก ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหลายตัว

น้าเล็ก เพิ่งเริ่มทำงานเป็นปีแรก ได้แม่ไก่มาจากไหนไม่ทราบ เขาทะนุถนอมเลี้ยงมันด้วยความรัก และเอาใจใส่ อีกทั้งยังมีลูกเจี๊ยบด้วยฝูงใหญ่ ฉันนั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้าน มองดูลูกเจี๊ยบวิ่งตามแม่ไก่เป็นพรวน แย่งกันจิกข้าวเปลือกที่น้าเล็กกำลังโปรย แม่ไก่มันช่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ เสียนี่กระไร และดูมันมีความสุขกันเหลือเกินยามนี้

" วันนี้ ค้างคืนกันหรือเปล่า หนู" น้าเล็กถาม
" แม่บอกว่าค้างจ้ะ ' ฉันตอบ
" ดีละ คืนนี้ที่วัดมีงานด้วย ฉลองพัดยศน่ะ มีหน้ง ลิเก และสอยดาวด้วย เดี๋ยวไปเที่ยวนะ อ้อ และน้าเข็มเขาขายก๋วยเตี๋ยวที่วัดด้วยละ " น้าบอก

น้าเข็ม คือน้องสาวคนรองจากน้าเล็ก เรียนหนังสือแค่ชั้นประถมสี่ แล้วลาออกมาช่วยยายดูแลงานบ้าน
และมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวที่โรงเรียน ซึ่งอยู่ใกล้วัด เมื่อมีงานวัดคราใด น้าเข็ม จะปักหลักขายก๋วยเตี๋ยว ที่หน้าศาลาการเปรียญ ทุกคราวไป ฉันขออนุญาตแม่ ไปช่วยน้าเข็มขายก๋วยเตี๋ยว ส่วนแม่ จะอยู่คุยกับยาย และน้องคนอื่น ๆ

ค่ำแล้ว บริเวณลานวัดสว่างไสว ด้วยแสงไฟนีออน และตรงโรงลิเก ประดับด้วยไฟสีเขียวแดง เพิ่มสีสัน ทำให้ฉากโรงลิเกดูสวยและเด่น มองเห็นแต่ไกล ถัดมา เป็นจอหนัง ที่ตั้งเรียบร้อยแล้ว มีสองจอ อยู่ไม่ห่างกันมากนัก เสียงเพลงลูกทุ่งจากเครื่องเสียง ดังกระหึ่มไปทั่ว ที่ขายสอยดาว ก็ตกแต่งดาวประดับต้นไม้ สีเงิน สีทองวาววับ

ฉันวิ่งไปดูดาวที่เขาประดับไว้ และดูของขวัญที่ทางวัดมีไว้แลกเบอร์ที่คนสอยได้ ประหลาดดีจัง จะทำบุญ ก็ต้องมีของล่อใจด้วย ฉันคิด ฉันวิ่งตึก ๆ กลับมาที่รถเข็นของน้าสาว ซึ่งกำลังวุ่นวายเกี่ยวกับการจัดร้าน และจัดการ กับเส้นก๋วยเตี๋ยว และเส้นหมี่ ผู้คนเริ่มทะยอยเข้ามาในงาน บัดเดี๋ยวใจ ทั้งที่หน้าจอหนัง และโรงลิเก ถูกจับจองกับเกือบเต็ม

น้ำในหม้อก๋วยเตี๋ยวเดือดแล้ว น้าเข็มพร้อมที่จะขาย ลูกค้ามาออกันเต็มร้าน ฉันช่วยล้างจาน น้าเล็กช่วยอีกแรง ฉันรู้สึกสนุกสนานกับการช่วยขาย ยิ่งค่ำ ยิ่งขายดี ผู้คนเริ่มหิว หาอาหารใส่ท้อง ร้านอาหารมีอยู่ไม่กี่ร้าน โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว มีร้านน้าเข็มเจ้าเดียวเท่านั้น สองทุ่มกว่า ทั้งหมู ทั้งไก่ และลูกชิ้น ใกล้จะหมดอยู่รอมร่อ น้าเข็มคาดการณ์ผิดไป เส้นก๋วยเตี๋ยวยังมีอยู่มาก

น้าเข็มถาม " ทำอย่างไรดีล่ะ เล็ก เนื้อเกือบหมด ของอื่น ๆ ยังอยู่ ถ้าไม่ขายต่อ เสียรายได้แย่"
" เอางี้ ฉันจะไปหาซื้อหมูที่ตลาด เดี๋ยวมา" น้าเล็กบอก
แล้วก็หายไปพักใหญ่ น้าเล็กกลับมามือเปล่า ส่ายหน้า บอกว่า " ไม่มีเลย เข็มเอ๊ย" น้าสาวหน้าม่อยโอกาสที่จะขายดีเช่นนี้มีไม่บ่อยนัก ปรกติขายอาหารเด็กนักเรียนตอนกลางวัน ก็แทบจะไม่มีกำไรเหลืออยู่แล้ว โอกาสเดียว คืองานวัด ซึ่งนาน ๆที ทางวัดจะจัดงาน ปี ๆ หนึ่ง นับได้ สองถึงสามครั้ง เท่านั้น

สามทุ่มแล้ว ผู้คนยังหลั่งไหลกันมาไม่ขาด ก๋วยเตี๋ยวใส่หมูชามสุดท้าย ถูกนำไปเสริพ ฉันไม่เห็นน้าเล็กสักครึ่งชั่วโมงแล้ว
" เลิกดีรึเรา หนู" น้าเข็มรำพึงกับตัวเอง เป็นเชิงถามฉัน
" ตามใจเถอะจ้ะ " ฉันตอบแบบเหนื่อย และหิว แต่พอหันไป เห็นน้าเล็กเดินมาแต่ไกล ในมือหิ้วไก่ตัวโตเข้ามาด้วย
น้าเล็กส่งให้น้าเข็ม บอกว่าเอาไก่มาให้ จะได้ขายต่อ
" เอ็งไปเอาไก่มาจากไหนวะ เล็ก " น้าสาวถาม
" เหอะ รับไป โน่น ลูกค้าคอยแล้ว "
น้าสาวรับไก่มา ไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียง อาหารถูกลำเลียงไปยังลูกค้า น้าเล็กหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เวลาจวนสี่ทุ่ม

ผู้คนเบาบางลง ร้านของเราว่างคน ฉันบอกน้าสาวให้ทำก๋วยเตี๋ยวมาให้ ไม่นานก๋วยเตี๋ยวน้ำไก่ มาวางตรงหน้า ฉันรู้สึกถึง ความหอมกรุ่นของน้ำซุป และค่อย ๆ ละเลียดน้ำเข้าปากไป
น้าเล็กกลับมาอีกที น้าเข็มถามย้ำ " ข้าถามจริงๆ เถอะเล็ก ไก่นั่น.....มัน"
ฉันหันกลับไป น้ำตาน้าเล็กไหลพราก ฉันเพิ่งเห็นผู้ชายร้องไห้เป็นครั้งแรก
" นังอ้วนของข้าเองแหละ นังเข็ม"
" เอ็งทำอย่างนั้นทำไมวะ เล็ก ข้าขายขาดทุนก็ไม่เป็นไร แต่นี่เอ็ง...." น้าเข็มพูดแค่นั้นก็ทรุดตัวลงนั่งน้ำตาคลอเบ้า
"ข้าคิดอยู่นาน ข้าเรียกนังอ้วนออกมาจากกรง ข้าเชือดคอมัน แล้วทำมาให้เอง ข้าร้องไห้ และขออโหสิต่อมัน ข้ายอมให้เอ็งขาดทุนไม่ได้ บ้านเราคนเยอะ ต้องกินต้องใช้ เอ็งไม่ต้องห่วงใจข้าหรอก เข็มเอ๋ย"
น้าเล็กพูดเท่านั้น ฉันเห็นเขาสะอื้น จนหน้าอกกระเพื่อม เขาหันหลังจากไป น้าเข็มกัดฟันกรอด ฉันตักน้ำแกง ในชามค้าง รู้สึกมีอะไรมาจุกที่คอหอย และน้ำตามาเอ่อล้นที่เบ้าตา จนมองไม่เห็นก๋วยเตี๋ยวในชาม เห็นชัดแต่เนื่อไก่นิ่ม ๆ ขาว ๆ ลอยฟ่องเต็มชาม

"โธ่ นังอ้วนเอ๋ย ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเย็นนี้ เอ็งยังวิ่งเล่นกับลูก ๆ อย่างมีความสุขอยู่เลย ใครอยากจะฆ่าเอ็ง ถ้าไม่จำเป็น" ฉันรู้สึกถีงหัวอกของน้าเล็กยามนี้ดี ว่าเขาช้ำใจเพียงใด
ก๊อก ๆๆ " มานี่นะ นังอ้วน มาหาพ่อหน่อย " น้าเล็กเรียกนังอ้วนเบา ๆ แม่ไก่ตัวอ้วนขยับปีกอย่างดีใจ โดดเข้าหาน้าเล็กอย่งประจบ ใต้ถุนบ้านมืดมาก อาศัยแสงไฟจากงานวัด ส่องให้เห็นขนของนังอ้วนดำเป็นประกาย เขากรีดใบมีดฉับเข้าที่ต้นคอ นังอ้วนร้องดังคร่อก แล้วเงียบเสียงลง เขาสะอื้น และร้องไห้ในความมืด
"อโหสิให้ข้าเถอะนะนังอ้วน" เขาถอนขนอย่างรวดเร็ว แล้วตักน้ำในโอ่ง ล้างให้สะอาด เลือดไก่ และน้ำตา ดูจะนองไปทั่วบริเวณ..........

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สวัสดี

วันนี้ก็เป็นวันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรแปลกไปจากทุกวัน ดูๆ ไปแล้ว ก็อาจจะแย่กว่าวันก่อน ๆ ก็เป็นได้ เพราะ ฝนที่เคยคิดว่า ใกล้ลมหนาวมาแล้ว คงไม่ตก ก็กระหน่ำตกอยู่อย่างนั้น แทบทุกวัน เราแหงนดูท้องฟ้ายามใกล้ค่ำ เต็มไปด้วยเมฆฝนทมึน ไปทั่วบริเวณ ฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะ ๆ น้ำฝน ผสมกับน้ำป่า และ น้ำทะเล
ที่หนุนสูง ก็ดูเหมือนจะทำให้วันนี้ แย่กว่าวันก่อน จริง ๆ ... อืม... อย่างไรซะ เราก็ยังคงจะพูดว่า สวัสดี รับวันใหม่
กับใคร ๆ ที่เรารู้จัก อยู่ดี และ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยน เป็น สวัสไม่ดี ไปได้หรอก อิอิ