วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปลาแห้ง..กับหน้าฝนปีก่อน


เช้านี้ อากาศไม่สดใสเลย ท้องฟ้ามืดทมึนไปด้วยหมู่เมฆสีเทาหม่น " หน้าฝนย่างกรายมาจริง ๆ เสียแล้วกระมัง " นางคิด หญิงวัยกลางคน ใช้หวีสางผมหยิกหยอยให้ราบเรียบ และเสียบไว้กลางหัว
หล่อนหรี่ตามองแผ่นฟ้า เหมือนรู้ทัน ใบหน้ากร้านแดดสีน้ำตาลแดง บอกความโชกโชนต่อชีวิต
ใช่สินะ หล่อนจมปลักอยู่ในกระท่องซอมซ่อนี่ ตั้งแต่สาว จนลูกห้าคนเข้าไปแล้ว ชีวิต ก็ยังเหมือน ๆ กันทุกวัน ตื่นนอนเพื่อออกไปหาอาหาร และซมซานกลับบ้านด้วยเหงื่อไคลที่ไหลย้อย อาจจะมีอาหาร หรือไม่มีกลับมา แต่ทุกคนทางบ้านก็รออยู่

หล่อนไม่น่าจะมีลูกมากเลย แต่ผัวของหล่อนก็ไม่ได้เรื่อง รับจ้างแบกข้าวสาร ที่ร้านในตลาดอยู่ไม่นาน ก็เลิกรา บ่นว่าไม่ไหว เย็นมาก็เอาแต่เมาหัวราน้ำ ไม่สนใจว่าหล่อน และลูก ๆ จะเป็นอย่างไร ภาระตกหนักอยู่ที่หล่อนคนเดียวจริง ๆ

เมื่อปีกลาย ลูกชายคนโต ออกจากโรงเรียนประถม หล่อนให้ช่วยเก็บผักหญ้าแถวริมคลองไปขายบ้าง หาปลาได้บ้างก็ยังดี หล่อนคิดได้เท่านั้นจริง ๆ

" แม่ ฉันจะไปหาปลานะ " เสียงลูกชายแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ปลุกความคิดของหล่อนให้กลับมา
" เออ เดี๋ยวข้าไปด้วย ขืนช้า ฝนคงได้เทกันมากันเท่านั้น " นางพูดพลาง คว้าถังน้ำใบเขื่องมุมห้อง ออกไปสมทบกับลูกชายที่คอยท่าอยู่

"นังศรี เอ็งหุงข้าวให้น้องกินด้วยนะ ปลาแห้งที่แม่เก็บไว้ในถุงน่ะ เอามาตำน้ำพริกกินกันไปก่อน เดี๋ยวสาย ๆ แม่มา คงได้ปลามาเพิ่มละ " นางสั่งเสียกับลูกสาวคนรอง
" จ้ะแม่" ลูกนางรับคำ

คลองชลประทานปีนี้น้ำเต็มเปี่ยม หลวงปล่อยน้ำมามาก ประกอบกับหน้าฝนมาเร็วกว่าที่คิด สองแม่ลูกปักหลักที่ท้ายคุ้ง ใต้ต้นหางนกยูง เป็นประจำ มีใครหลายคนมาหาปลาก่อนหน้าบ้างแล้ว

โครม.... เสียงแหทอดเป็นวงกว้าง นางค่อย ๆ รวบแหเข้ามา "โธ่เอ๊ย มีแต่ปลาซิว" หล่อนรำพึง มองหน้าลูกชายที่มีสีหน้าผิดหวังพอกัน

ครืน ๆ เสียงฟ้าคำรามและไม่นาน ฝนก็กระหน่ำตกลงมา อย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น หล่อนกับลูก ถอยมานั่งขดอยู่ใต้ต้นหางนกยูง ใช่แผ่นพลาสติก คลุมกันพอไม่ให้ฝนชะผม " เดี๋ยวจะไม่สบาย" นางบอกลูกชายอย่างนั้น

นางทอดตาฝ่าสายฝนหนาหนัก ด้วยความว่างเปล่า และอ้างว้าง นัยน์ตานั้นฝ้าฟางไปด้วยหยาดน้ำตา มันผสมกลมกลืนกันไปหมด จนดูไม่ออกว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา นางปล่อยอารมณ์ระทมทุกข์ กับสายฝน ถึงแม้จะสะอื้นออกมาดังๆ ลูกนางก็คงไม่รู้หรอก ว่านางกำลังร้องไห้

" แม่ ฝนหนักอย่างนี้ พ่อเขาไปอยู่ซะที่ไหนนะ ข้าเป็นห่วงจัง" ลูกนางรำพึง
"ช่างหัวพ่อแกเถอะ ไอ้ชาติเอ๋ย มันจะไปเป็นไปตายอยู่ที่ไหน ข้าก็ไม่รู้แล้ว" นางกล่าวสั้น ๆ

นานอยู่เหมือนกัน ที่สองแม่ลูกนั่งรอ จนฝนซาเม็ด จึงค่อย ๆ ออกมาทอดแหดังเดิม แต่ก่อนที่ลูกชายของหล่อน จะวาดแหลงคลอง พลันก็ได้ยินเสียงตะโกนมาไกล

"  รถคว่ำเว้ย รถสิบล้อคว่ำที่ถนนใหญ่"

พวกที่หาปลาริมคลอง อีกสองสามคน ละงาน ต่างวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เพื่อดูเหตุการณ์ นางกับลูก ก็ถลันวิ่งตามๆ กันไป

ถนนใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากคลองส่งน้ำนัก รถสิบล้อเอียงกระเท่เร่อยู่ริมถนนนั่นเอง ปลาแห้งที่บรรทุกมา หกกระจายไปทั่วบริเวณ ชายสองสามคนที่วิ่งมาล่วงหน้า ต่างก้มลงเก็บปลาแห้ง ใส่ทุกอย่างที่มีอยู่ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หล่อนยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ใจสั่นเหมือนจะเป็นลม เมื่อเช้า ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยนี่นะ

ในแว่บหนึ่งของสำนึก หล่อนอยากจะไปดูว่า ยังมีคนเจ็บติดอยู่ด้านหน้าของรถหรือไม่ แต่ขณะเดียวกัน ปลาแห้งที่หล่นเกลื่อนรอบรถนั้น มันช่างมากมายเหลือเกิน

"เก็บของไปขาย คงได้หลายวะ นังหลวย" พวกที่มาหาปลาด้วยกันกล่าว
"เออ ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ" แล้วหล่อนกับลูก ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บปลาแห้งใส่ทั้งถุง และถัง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
"แม่ ข้าว่า ปลาตัวโต ๆ อย่างนี้ราคาคงหลายนะ" ลูกนางว่า
" อือ" นางตอบสั้น ๆ พะวงอยูแต่กับปลาข้างหน้า
"ไปกันเถอะ ไอ้ชาติ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"  นางเรียกลูกชาย

นางลากถุงปลาอ้อมท้ายรถ ใจที่พองโตเพราะลาภก้อนใหญ่ ทำให้ไม่ได้นึดถึงคนเจ็บในรถเลย
"โอย !! ช่วยด้วย" เสียงครางแผ่วเบา ลอดออกมาจากทางด้านหน้ารถ ฉุดให้นางหยุด และหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั้น

ใบหน้าที่อาบด้วยเลือดแดงฉาน ยื่นมือไขว่คว้าอากาศธาตุ ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ หล่อนหยุดยืน
มองดูคนเจ็บที่ติดอยู่ในซากรถ ไม่นึกว่าจะยังมีคนรอด หล่อรวบถุงปลาแน่น เหมือนหวงแหนของที่ตนเพิ่งได้มา ค่อย ๆ ถอยหลังช้า ๆ ขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ร่างนั้น
" ช่วยย....ฉันด้วย อย่า.....เอาของฉันไป"

เสียงนั้นวิงวอน  ขอร้อง

นางหลวย หันหลังให้ภาพนั้น และฉุดลูกชาย ให้เร่งขนปลา ออกจากซากรถโดยไว

" เร็วลูก เดี๋ยวตลาดวาย.....ขายไม่ทัน"

.....................................................................!!!!!!!!!!!!!........................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น