วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไปไหนมา

"ไปไหนมาน่ะ " เวลาเดินผ่านคนแถวบ้านตะโกนถาม
" อ๋อ ...เปล่า ไปแถวโน้นมาน่ะ"  ตอบไปแกน ๆ ไม่มีความหมาย และผู้ถามก็ไม่คาดหวัง ในคำตอบ

"กินข้าวกันไม๊" เวลาไปธุระแล้วบังเอิญเค้ากำลังทานข้าวกันอยู่
"เชิญเถอะจ้ะ ขอบคุณ" แต่ไม่เห็นกล้าร่วมวงซักครั้ง ยกเว้นเป็นญาติสนิท

"เอ๋ ทำอะไรอยู่น่ะ" ผู้คนมักจะถามก่อนเสมอ เวลาจะเข้ามาทักทาย
"อ๋อ ก็ ทำไอ้นี่อยู่ไง" ผู้ถูกทัก มักจะตอบไปแกน ๆ อย่างนั้น แหละ

"โอ๊ะ ได้ข่าวว่าจะแต่งงานใช่ไม๊ เอ๋ จะร่วมหอลงโลง แล้วน๊า อิอิ"
"อืมมม ค่า แค่ร่วมหอ อย่างเดียวนะคะ ไม่ลงโลงฮ่ะ " ฮาาาา

" มะ มา มา มากินข้าวกินปลาก่อนนะ "
" อ้า ได้เลย เหล้า ยา ปลาปิ้ง ด้วยนา พี่" แบบ นักเลงบ้านนอกเค้าคุยกันน่ะ

" พี่ พี่ ทางนี้ไปทางไหนอ้ะ "
" อ๋อ ก็ไปทางโน้นไง"
" อ้ะ งง แล้วทางโน้น น่ะ มันไปทางไหนเหรอ"
" เอ้อ ก็นั่นน่ะสิ"

At Least...

At least...you care for me
I can be here for you forever
At least...you have only me
I feel lucky more than over

So, please come to be by my side
Say lightly that you love me...
and...have no others...

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Sit down please....

Sit down  Please....
I need to be by your side...
I need to see your eyes....
    Please come to be my sunshine...
    I would like you to touch me lightly
    Hold your hands close to me
        Cause we may be don't see again


มานั่งใกล้ใกล้ฉันสิที่รัก
ฉันจักอิงไหล่กับแผ่นหลัง
สบสายตาอ่อนหวานอย่างจริงจัง
พร้อมกับนั่งกุมมือมาใกล้ใจ

จะสัมผัสอ่อนละมุนอย่างช้าช้า
ใจไม่กล้าคิดถึงเวลาไหน
เผื่อสักวันเราอาจต้องทำใจ
เวลาที่ห่างไกลไม่พบกัน


   

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันแรกที่เริ่มเย็น

ยามเช้าที่สดใสย่างกรายเข้ามา ท้องฟ้าสะอาดกว่าเมื่อวาน แสงแดดสว่างโพลน อากาศเย็นโชยมาสัมผัสหน้า มันทำให้เรารู้สึก ถึงวันเก่า ๆ คล้ายกับว่า เวลา หรือเหตุการณ์ ของวัน ก่อนโน้น ตั้งแต่ไหนต่อไหน กำลังลอยกลับมาลูบไล้รอบตัวเราอีกครา มันเป็นความรู้สึกที่แปลก แต่เราก็คุ้นเคย เหมือนกับว่า เวลานี้ของเมื่อวาน กำลังกลับมาทักทายเราอีก ในส่วนลึก ๆ เราปิติ และยินดีต้อนรับ บรรยากาศเหล่านี้ เหมือนคนที่คุ้นเคยมาเยี่ยมเยือน อืม...อากาศที่เย็นสบาย โชยมารอบตัว เหมือนกับกำลัโอบกอดเราด้วยความคิดถึง มันเป็นความรู้สึก ที่เราสัมผัสได้ และรู้ว่า วันนี้เป็นวันแรกของฤดูหนาว ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา ไม่รู้สินะ สัมผัสแบบนี้ทีไร ก็รู้ว่า ไม่ช้า ฝนก็จะสั่งลาฟ้าแล้ว แบบ ปลายฝน ต้นหนาว น่ะ เรารู้สึกดีทุกครั้งที่ลมหนาวโชยมา ความอบอุ่นในสายลมหวล ความแปลกหน้าที่คุ้นเคย ความแตกต่างที่กลมกลืน ธรรมชาติที่สั่งลา พร้อม ๆ กับการหวลคืนของ วันที่หายไป อย่างไรก็ตาม เราก็รู้สึกดี และ ยิ้มต้อนรับ เสมอ ....สวัสดีหน้าหนาว

ลมจะไล้ใบหน้าอย่างช้าช้า
ฟ้าจะส่องแดดจ้ากว่าวันไหน
มวลใบไม้จะเขียวสดกว่าวันใด
บอกว่าใช่หน้าหนาวถึงคราวมา

     ห้วงสำนึกระลึกภาพวันเก่าเก่า
     เหมือนเรื่องเล่าแว่วผ่านมาข้างหน้า
     คล้ายวันวานย้อนม่านกาลเวลา
     ในบรรยากาศเดียวกันกับวันเดิม

เป็นความรู้สึกดีดีแต่เสียดาย
สิ่งต่างต่างทั้งหลายคล้ายเพิ่งเริ่ม
แต่บางสิ่งกลับหดหายไม่ต่อเติม
เป็นภาพเดิมในวันแรกที่เริ่มเย็น...

      เช้านี้เป็นวันที่สดใส 
      แต่ใบไม้บางใบกลับหลบเร้น
      เพื่อรอปลิดขั้วใบที่ไหวเอน
      เป็นกฎเกณฑ์ความมีอยู่ และ หมดไป ไม่จีรัง..

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝน กับกาแฟดำ

บ่ายแล้ว  อากาศที่ร้อนอบอ้าวเมื่อเช้า ก็ส่งผลให้ฟ้าครึ้ม เมฆมัวหม่นในตอนบ่าย และไม่ช้า ฝนก็โปรยปรายลงมา ...

ดื่มกาแฟร้อน ๆ สักถ้วยดีกว่านะ ว่าแล้วก็ชงกาแฟดำ ใส่น้ำตาลคาราเมล สักครึ่งช้อน ถ้วยบาง ๆ กระทบจานรอง ดังกรุ๊บกริ๊บ ก็แค่เสียงกระเบื้องกระทบกัน ในห้องที่เรานั่งอยู่ ก็รู้สึกว่าดังมากแล้ว เรานั่งจมตัวเองลงในโซฟาสีครีม ยื่นขาทอดขึ้นไปที่โต๊ะด้านหน้า ตัวงอคล้ายกุ้งที่ลวกน้ำร้อน หากแต่ขาที่พาดสูง ทำให้เราผ่อนคลายอย่างประหลาด

ใช่...ในห้องนี้ มันเงียบ แต่เย็นจากเครื่องปรับอากาศ และมีกลิ่นอวลของกาแฟดำ อืม... มันหอมมาก ๆ เลย

เราทอดสายตาออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นถนนใหญ่ ฝั่งตรงข้าม มีม้านั่งริมทางตัวสวย เราชอบมองบ่อย ๆ เพราะ ม้านั่งนั้นทาสีขาว ด้านหลัง มีรั้วไม้ระแนง เตี้ย ๆ ทอดเป็นแนวยาว ร้านตรงข้ามเค้ายังปลูกต้นไม้พุ่ม พวกโมก ไว้เป็นแนวยาวตลอดรั้ว และด้านข้างของม้านั่ง นั้น ยังมีต้นไม้ต้นเตี้ย ๆ แต่แผ่กิ่งกว้างพอที่จะให้ร่มเงา ได้ อยู่ต้นหนึ่ง ภาพนี้ มันงดงามทุกครั้งที่เราเหม่อมองออกไป แม้ไม่ตั้งใจ

แต่ตอนนี้ ฝนกำลังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ยังไม่ถึงกับตกหนัก มีใครหลายคนพากันวิ่งบ้าง เดินบ้าง เพื่อหลบฝน บ้างก็กางร่ม แล้วเดินเร็ว ๆ จากไป ภาพที่สดใส ก็พลันพร่ามัว ด้วยสายฝน แต่มันก็งดงามนะ เหมือนภาพวาดอย่างไรอย่างนั้นเลย เราชอบมอง เสียงเม็ดฝนเริ่มตกมากขึ้น  กระทบหน้าต่าง จั้ก ๆ ๆ ทำลายความเงียบลง เราจิบกาแฟอุ่น ๆ โดยไม่ละสายตา ไปจากหน้าต่าง สายฝนฉาบทากระจก จนทึบคล้ายม่านสีเทา กางกั้นสายตาเราจากม้านั่งตัวนั้น หากเรายังคงเห็นประกายของม่านน้ำระยิบระยับ อืม อย่างน้อย ก็ช่วยให้รสชาติกาแฟดำ มันหอมหวล และ รู้สึกอบอุ่น ในความเยือกเย็น มัน ทำให้จิตใจเราปล่อยวาง สงบ เป็นความแตกต่างที่กลมกลืน

กาแฟหมดถ้วย แล้ว แต่เหมือนใช่้เวลานานเหลือเกิน กว่าจะดื่มหมด เราอาจกำลังดื่มด่ำ กับความสงบกระมัง ฝนก็วาลงแล้ว ต้นไม้กลับดูสดเขียวกว่าเดิม ม้านั่งสียิ่งขาว น้ำนองที่ทางเท้า ผู้หญิงบางคนเดินกระโปรงลีบ มีน้ำหยดเป็นทาง อืม วิถีชีวิต ก็เริ่มอีกแล้ว ไม่นาน ม้านั่ง ก็มีคนมานั่งอีก

อย่างน้อย วันนี้ ก็เป็นอีกวัน ที่ดี เพราะทำให้กาแฟนั้น น่าดื่มกว่าวันไหน ๆ และเรามีความสุขจัง

อย่างน้อย....
กาแฟ กับต้นไม้ และม้านั่ง
กับบางครั้ง ภาพผ่านอย่างช้าช้า
หากติดตรึงอยู่ในใจ ในสายตา
รู้สึกว่าสุขใจนั้น...เป็นฉันใด