วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จากดวงตะวันถึงริมฝั่งโขง

ทั้งที่รู้ว่าพบพาต้องลาจาก
ก็ยังอยากเป็นตะวันบนฟากฟ้า
แม้มีจากยังฝากคำสั่งลา
บอกกันว่าจะมาพบเมื่อครบวัน

                            เธอจะเป็นเช่นนี้ได้ใช่ไหม
                            หรือมีใครในใจที่เฝ้าฝัน
                            และรอคอยทุกนาทีทุกวี่วัน
                            เถอะ...บอกฉันจะไม่ฝันถึงกันเลย


                                      มองน้ำหลากล้นปริ่มริมฝั่งโขง
                                      บอกตรงตรงจากใจอยากใคร่เอ่ย
                                      ทั้งพอรู้ส่าผลลัพธ์อาจเฉยเมย
                                      และไม่เคยมีเยื่อใยเหมือนสายน้ำ


                                           เรือลำน้อยลอยลับที่ทับคุ้ง
                                           เหเรือพุ่งกระเพื่อมสายพรายน้ำฉ่ำ
                                           ปาดน้ำตาลาแล้วความทรงจำ
                                           บอกลาลำโขงคดเคี้ยวไม่เหลียวคืน


โน่นตะวันแสงสุดท้ายที่ปรายฟ้า
เป็นนัยว่ามาทวงฝันเมื่อยามตื่น
หากน้ำค้างร้างลาลับไปกับคืน
มีเพียงรื้นชื้นน้ำค้างที่ปรางค์นวล....

สะพานฝัน

....เรากำลังก้าวข้ามสะพานฝัน
    เพื่อฝ่าฟันถึงจุดหมายปลายทางหน้า
    เผชิญกับเหตุการณ์ที่ทายท้า
    เพื่อค้นหา หรือ คว้าชัย....อย่างไรกัน.....


                    ทุกนาทีที่โลกมีความหมาย
                    ความเป็นตายอาจใกล้หรือไกลนั่น
                    หากชีวิตจากชีวิตต้องไกลกัน
                    จำจาบัลย์พรั่นสะพรึงเพียงหนึ่งเดียว

เรื่องราวจากสะพานสูง

แสงสุดท้ายยังสว่างอยู่อย่างนั้น
ในสายัณห์วันหนึ่งซึ่งมองเห็น
สีส้มทองทาบทาเพลาเย็น
แนวเมฆเน้นเรียงรายประปรายฟ้า

                        สะพานสูงยืนทอดร่างอย่างอ่อนหวาน
                        ภาพอาคารสะท้อนแสงสีแดงจ้าง
                        และความมืดจะโรยตัวอย่างช้าช้า
                        สะท้อนฟ้าเพียงเห้นได้ในแผ่นน้ำ


                                          กลายเป็นความงดงามอีกยามหนึ่ง
                                          พระจันทร์พึ่งพ้นทิวไม้ในคืนค่ำ
                                          ทิ้งบ้านเรือนแถวทิวไม้ทมึนดำ
                                          น้ำค้างพรำกับพร่างพราวหมู่ดาวโพ้น


เรือที่ทอดสมอรอรุ่งสาง
แลเห็นเงารางรางออกเกลื่อนกร่น
เรือท่องเที่ยวตามไฟสว่างโพลน
มีแทรกปนเรือเล็กเล็กยังลอยลำ

         
                            โค้งสะพานผ่านคุ้งเหมือนรุ้งโค้ง
                             แนวหลักคงสะท้อนไฟในภาพนั้น
                             เป็นสายรุ้งแสนงามยามรัตติกาล
                            เป็น"เวตาล"เล่าเรื่องเมืองกลางคืน

                   
                                                    แลลงล่างพร่างพราวระยับยิบ
                                                    ไกลลิบลิบคือเมืองกว้างยังคงตื่น
                                                     ในหลืบมุมแสงสีของค่ำคืน
                                                     แลดาษดื่นกลบแสงดาวที่ราวฟ้า


                               มนุษย์ ...สิ่งก่อสร้าง...ธรรมชาติ
                               แปลกประหลาดปลอมปนอย่างแปร่งปร่า
                               บางคราวดูสวยงามยามพิจารณา
                               ขึ้นอยู่ว่าเป็นมุมมองของผู้ใด....


แล้วคุณล่ะ...คิดว่าอย่างไร

เขียนกลอนนี้ ในบางวัน ที่มองจากสะพานแขวน ในยามเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า....

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เพลินชมป่า

วันนี้เราอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่
สูดกลิ่นไอละอองดินกลิ่นกรุ่นนั้น
"เต็ง""รัง""เลี่ยน"เปลี่ยนไปใกล้"สะแกวัลย์"
"สรัสจันทร์"ซ้อน"นางแย้ม"แซม"คิ้วนาง"
 

                                                                               เต็ง


                                                                       ไม้รัง

                                                                สะแกวัลย์


                                                                   
                      "กระดุมเงิน"เงางามตามตะวัน
                      "เฟิร์น""สน" นั้นซ่อนตัวอยู่ห่างห่าง
                       "ดงเสี้ยวขาว"พราวพรายเป็นรายทาง
                       ตรงที่ว่างมี"ดอกหรีด"กรีดน้ำตา
              

                                                "สายหยุด"หยอก"หญ้าบัว"เลาะรั้วเรียบ
                                                 "เปราะหอม"เปรียบปริ่มน้ำตามประสา
                                                  "กระเจียว""อ้อ"ล้อ"บัว"บานอยู่ลานตา
                                                  "มะลิป่า""หว้า""ก่อ""แก้ว""แต้ว"แต่งเติม


เลาะเลี้ยวมาโขดหินลานธารน้ำตก
วนเวียนวกโกรกกรากกระชากเริ่ม
กระเซ็นสายสาดเซาะเหมาะกว่าเดิม
"แดงอุบล"เริ่มแก่กร่ำปลายลำธาร


                                ตะวันกรายลงเยี่ยมเหลี่ยมทิวเขา
                                "สน"ทอดเงา"เสลา"โศก""โมก"สล้าน
                                สลับแสงแรงอ่อนล่อนละลาน
                                วิเวกหวานเพลงไผ่ไพรพนา

             
                                                       เราอ้อมลงตรงรอบที่ขอบเขา
                                                       ฟ้าสีเทาทมึนหม่นหนทางหน้า
                                                       ซึมซาบซับดินน้ำอยู่คู่โลกา
                                                       เนาเวลามีค่ากับป่างาม


                                                                       ดินจะดีเพราะมีที่ปรกป่า
                                                                       มีฝนฟ้าตามฤดูอยู่กลางท่าม
                                                                       จงรู้จักรักษ์ป่าล้วนควรติดตาม
                                                                        ดำรงธรรมชาติไว้ตลอดกาล


                                                     สรรพสิ่งงดงามตามที่เห็น
                                                     และจะคงอยู่เป็นเช่นอย่างนั้น
                                                     เกิดจากคนในสังคมเป็นสำคัญ
                                                     ช่วยแต่งสรรสร้างเสริม...คงเดิมเอย.

มาช่วยกัน รักษาธรรมชาติ รักษาโลกนี้กันเถอะนะ...