วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอนสอนลูก

กระดาษแผ่นเก่า ปิดไว้ที่เสา ด้านหน้าคอมพิวเตอร์ ใช่ มันค่อนข้างเก่า และออกเหลืองแล้ว เพราะติดมาหลายปีแล้ว เขียนไว้ ให้ลูกอ่าน เวลาจะเล่นเกมส์ในเครื่องคอมพ์ฯ นาน ๆ อย่างน้อย ก็คอยเตือนใจ
บ้างละ เขียนไว้อย่างนี้.....

            อันความดีดีชั่วตัวเรารู้
            ดีขึ้นอยู่การกระทำตามคำสอน
            กตัญญูบิดาและมารดร
            เอืออาทรมีน้ำใจให้ทุกคน
                เอาใจใส่หมั่นเรียนเพียรศึกษา
                มีวิชาเกรียงไกรไปทุกหน
                เป็นราศรีสง่างามติดตามตน
                เป็นบุคคลควรค่าน่าภูมิใจ
          หากรักชั่วหามเสาแสนเนาหนัก
          เหมือนถูกผลักลงนรกตกหลายขุม
          เสพเสเพลเกเรเข้าครอบคลุม
          รางร้ายรุมตัวเราเขลาจนตาย
               ขอให้คิดเอาเถิดผู้เลิศเอ๋ย
               อย่าละเลยดีชั่วมัวหลงใหล
               ลองคิดดูจะเลือกเด่นทางใด
               กระจ่างใจใสงามตามอย่างเอย.

อืม...ถึงแม้กระดาษจะเก่า แต่ข้อความยังขลังเหมือนเดิมนะ เดี๋ยวจะพิมพ์ใหม่มาติด ให้ลูกคนต่อไปซาบซึ้งต่อ ....รู้สึกดีจัง.

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นายร้อย เตียงหนึ่ง ห้องที่สาม

ดอกกุหลาบมัดโต หลายมัดที่เพิ่งซื้อจากปากคลองตลาด ถูกหอบหิ้วอย่างพะรุงพะรัง เข้ามาในเขตโรงพยาบาล วันนี้ ฉันกับเพื่อน พากันมาเยี่ยมทหารหาญ รั้วของชาติที่ได้รับบาดเจ็บ จากการสู้รบตามชายแดน ระยะนี้ มีข่าวการสู้รบ กันอยู่เนือง ๆ ทหารมักถูกยิง หรือไม่ก็ถูกกับระเบิด อยู่บ่อย ๆ โรงพยาบาลพระมงกุฎ จึงเต็มไปด้วย ทหารบาดเจ็บ ซึ่งถูกลำเลียง เข้ามารักษาตัววันละหลายราย จนบางครั้ง ไม่มีเตียงพอจะรองรับ

หน้าที่ของนักเรียนอย่างเราเท่าที่จะทำได้คือ แวะเวียนไปเยี่ยม และให้กำลังใจ เท่าที่จะทำได้ เช้าวันเสาร์นี้ก็เช่นกัน  ... เราก้าวเข้าไปในห้องผู้ป่วยรวม หนแรกเป็นความประหม่าอยู่เหมือนกัน ใครก็ไม่รู้ที่
ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน นอนบ้าง นั่งบ้างอยู่บนเตียง คนไข้ทุกคนหันมามอง เราทั้งสอง คือฉันและเพื่อน เป็นตาเดียวกัน บางคนมองแบบแปลกใจ ระคนสงสัย บางคนกรุ้มกริ่ม แนเริ่มกล่าวสวัสดี และเกริ่นว่า มาเยี่ยม และให้กำลังใจ อาจจะด้วยความจริงใจ และความตั้งใจ อย่างที่สุด ทำให้ทหารผู้ป่วยทั้งหลาย คลายสีหน้าลง และเปลี่ยนอากัปกิริยา ให้สุภาพขึ้น ดอกไม้ถูกหยิบยื่นให้คนไข้แต่ละเตียง ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างยินดี
" ฉันไม่มีอะไรมาเยี่ยม นอกจากดอกไม้นี้ค่ะ" ฉันกล่าว
" ไม่มีใครมาเยี่ยมพวกเราหรอก ขอบใจพวกคุณมาก " หนึ่งในคนไข้ตอบ
" คุณโดนอะไรมาคะ" ฉันถาม
" ผมออกลาดตระเวณ ตามหน้าที่ แล้วก็ถูกกับระเบิด...." เขาหยุดชั่วครู่ พร้อมใบหน้าสลด " ขาผม.."
ฉันก้มลงดู ขณะเขาเลิกผ้าคลุมส่วนขาออก ใช่ ขาของเขาถูกตัดทิ้งทั้งสองข้าง
" โอ ฉันเสียใจค่ะ " เราเงียบกันไปพักหนึ่ง
เตียงถัดไป " ผมโดนลอบยิง ที่ชายโครง เกือบแย่"
.ใช่สิ ถุงปัสสาวะห้อยอยู่ปลายเตียง ถุงน้ำเกลือ เหนือเตียง ชี้ให้เห็นร่องรอย เพิ่งผ่านการผ่าตัด กับใบหน้าที่ซีดเซียว ตอบอย่างเบื่อหน่าย
ชายหนุ่มด้านโน้น นั่งแกว่งเท้าอยู่บนเตียง แสดงอาหารของคนไข้อาการไม่หนักหนา เขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และชอบพูดคุย อีกทั้งคอยฟังเรื่องที่เราจะถาม และยินดีที่จะตอบ เราทุกคำถาม แต่แขนข้างซ้าย ของเขา ตั้งแต่ข้อศอกลงมาถูกตัดทิ้ง กระนั้น เขาก็ยังมีแววตาที่กระตือรือล้น ช่างเป็นชายหนุ่มที่มีจิตใจเข้มแข็งเสียจริง ฉันคิด

เราเดินเข้า และ ออก แต่ละห้องพักผู้ป่วย จากห้องหนึ่ง ไปอีกห้องหนึ่ง เรื่อยมา จนมาถึง

เตียงหนึ่ง ห้องที่สาม

ห้องนี่ มีอยู่สองเตียง มีเพียงเตียงแรกเท่านั้น ที่มีคนไข้ ชายหนุ่ม นอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียง เขาเลิกคิ้วมองพวกเราอย่างสงสัย ฉันและเพื่อนกล่าวทักทาย เขาพยายามลุกขึ้น แต่ไม่เป็นผล นัยน์ตาคมกริบนั้น บ่งบอกถึงความเจ็บปวด
" โอ๊ะ ไม่ต้องขยับหรอกค่ะ ดูท่าทางคุณยังเจ็บปวดอยู่มาก "
" ใช่ ผมถูกกับระเบิด มันมืดมนไปหมด เวลานั้น " เขาเล่าเรื่อย ๆ
" ผมนำกองทหาร ออกไปปะทะกับพวกมัน แล้วผมก็พลาด " เสียงของเขาเหมือนกลืนก้อนแข็ง ๆ
" มารู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว "
เขาคงเพิ่งถูกนำตัวมาแน่ ๆ ฉันคิด ผมยาวรุงรัง หนวดเคราปิดบังใบหน้า แต่ไม่ได้ทำให้ ความสง่างามของชายหนุ่มลดลง เขาเป็นทหารที่บุคลิก และหน้าตาดีที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่เห็นมา โดยเฉพาะ ดวงตากลมโต ภายใต้คิ้วดกดำคู่นั้น สวยงามอย่างประหลาด อ่อนโยน พอ ๆ กับความเข้มแข็ง ใช่ เขาคือนายร้อยหนุ่มผู้ทีอนาคตไกล ร้อยเอก.....นามสกุล.....เอ๊ะ คุ้น ๆ
" ใช่ พ่อผมเป็นทหารใหญ่ในกองทัพ " เขาเดาสายตาฉันออก ขณะกำลังอ่านชื่อที่ปลายเตียง
" ผมเป็นลูกชายคนเดียวของท่าน ได้เป็นทหารอย่างท่าน แต่ไม่เก่งเท่าพ่อ" เสียงเขาขมขื่น
ขณะนี่ เขานอนนิ่งอยู่บนเตียง เพราะสะเก็ดระเบิด เข้าสันหลัง มีผลต่อระบบประสาท เขาต้องรอการผ่าตัด
" ทหาร เวลาสงคราม ดูเหมือนพวกเราจะสำคัญขึ้นมาทีเดียว และโยเฉพาะเวลาที่เราตาย " แววตาของเขาส่อประกายกล้าขึ้นมาแว่บหนึ่ง
" แต่พวกเราเห็นความสำคัญของพวกคุณนะคะ" ฉันกล่าว
" ขอบคุณครับ " แล้วน้ำเสียงเขาก็กลับร่าเริงอีกครั้ง
" เดี๋ยวคุณมาเยี่ยม คราวหน้า ผมคงได้ตัดผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วละครับ " ใบหน้าอมยิ้มร่าเริงสดชื่น
พอ ๆ กับแววตา ฉันและเพื่อน กล่าวลา และปลีกตัวออกมา

กุหลาบดอกงาม ๆ ที่ถูกปลิดหนามออกแล้ว ถูกรวบกำโตในมือ วันนี้ จะไปเยี่ยมทหารที่โรงพยาบาลละ

ฉันก้าวเท้าเข้าเขตโรงพยาบาล ดวงตากลมโต ในวงหน้าคมเข้ม ลอยอยู่ในห้วงสำนึก ฉันมายืนที่หน้าห้องที่สามตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ รู้สึกดีใจที่จะได้พบนายร้อยคนนั้นอีก ผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือ พร้อมกับยิ้มกว้าง เอ๊ะ หากแต่บนเตียงที่หนึ่งกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาของชายหนุ่ม ฉันเคว้งคว้างอยู่นิดหนึ่ง " เอ้อ คนไข้เตียงนี้ หายไปไหนคะ คุณพยาบาล " ฉันถามพยาบาลสาวที่เดินผ่านมาพอดี
" เค้าสิ้นลมแล้วค่ะ เมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง " เธอตอบเท่านั้น แล้วเลี่ยงออกไปนอกห้องด้วยภาระที่ต้องทำ ม่านน้ำตาเอ่อท้นขอบตา ฉันกรีดออกอย่างรวดเร็ว และกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่ความงุนงง

เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ที่เขาบอกว่า จะตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย หน้าคมเข้ม ยังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข มาวันนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว สงคราม พรากชีวิต จากพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนฝูง สงคราม ทิ้งความว่างเปล่าที่ร้าวรานไว้เบื้องหลัง และฉันก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เข้ามาสัมผัส ผลของสงคราม แม้จะเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งก็เถอะ

ฉันวางดอกกุหลาบดอกหนึ่งไว้หัวเตียง เพื่อไว้อาลัยให้ชายหนุ่ม....

ในความรู้สึก ....นัยน์ตาสวยคู่นั้น ยังจ้องมองฉันอยู่...ช่างงดงามเหลือเกิน....

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เช้านี้ อารมณ์ดี ได้ยิงคน

เช้านี้ รถลาดูไม่ขวักไขว่เหมือนทุกวัน ฉันขับรถอย่างสบาย ๆ ไม่รีบเร่งเท่าใดนักบนทางด่วน  อากาศภายนอก
ก็ดูสดชื่นดี แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เมื่อมองออกไปแล้ว ทำให้อารมณ์แช่มชื่นดีเหลือเกิน ฉันเปิดเพลงเบา ๆ และคิดอะไรเพลิน ๆ
 
ขับรถมาได้ครึ่งทางแล้วสินะ รถคันข้างหน้า คือรถสปอร์ตไรเดอร์คันใหม่สีตะกั่วตัด รู้สึกว่าจะขับนำรถของฉันมาตั้งแต่ต้น ฉันรักษาระยะห่างประมาณ 20 เมตร และตอนนี้ บนถนนก็ดูเหมือน จะมีรถเพียงสองคันเท่านั้น แต่เอ๊ะ
สองคนที่อยู่ด้านหลังของรถนั่น กำลังทำอะไรอยู่นะ เค้ามองจ้องมาที่เรา ให้ตายสิ... มันกำลังยกปืนขึ้น แล้วเล็งมาที่ฉัน ฉันใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือไวเท่าความคิด ฉันล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือใกล้ตัว คว้าปืนคู่ชีพ ออกมากำแน่น

" เปรี้ยง" มันยิงเข้ามาแล้ว กระจกหน้ารถแตกกระจาย ลูกกระสุนถากศีรษะไปนิดเดียว ฉันยิงสวนออกไปทันที สองนัดซ้อน หนึ่งในสองคนนั้น บิดตัวไปมา ทำท่าเจ็บปวด คงถูกกระสุนของเราเข้าแล้วสิ แต่อีกคนก็ไวทันกัน
ยิงสวนกลับมา โอ๊ะ ถูกไหล่ฉันเข้าให้แล้ว เจ็บแปลบที่ต้นแขน อะไร กันนะ พวกมันจะทำอะไรกัน เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ต้องสู้กันหน่อย ฉันเบนหัวรถเข้าไปใกล้ ๆ แล้วเล็งปืนไปที่อีกคนที่เหลือ ยิงจนหมดกระสุน และได้ผล อีกคนชักดิ้นชักงอ ทำท่าล้มลงจมกองเลือด ฮะฮ่า... มันตายกันหมดแล้ว...

ฉันเป่าปลสยนิ้ว เหมือนเป่าควันที่ปลายกระบอกปืน พร้อมกับยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ แล้วเด็กชายสองคนที่ทำท่าชักดิ้นชักงอ เมื่อครู่ ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพิงดระจกหลัง เด็กอ้วน และเด็กผอม หน้าตาบ้องแบ้ว แสนซน อายุประมาณ 8-9 ขวบ ยกมือยอมแพ้ เป็นการจบเกมส์  แล้วยิ้มกว้าง ๆ ตอบฉัน ฮั่นแน่ ในที่สุก พวกเธอก็แพ้ฉันอยู่ดี

ฉันดีใจกับชัยชนะครั้งนี้ เจ้าเด็กจอมแก่น เอ๋ย ไปก่อนละ บ๊ายบาย ฉันโบกมือให้ แล้วเร่งเครื่อง แซงออกมา ดูเหมือน ชายคนขับรถ จะเป็นใจ ให้ลูกของตน เล่นกับฉัน จนพอใจเช่นกัน.

เช้านี้ ฉันจึงอารมณืดีเป็นพิเศษไง ที่ได้ยิงคน เอิ๊ก ๆๆๆ

ฝน... กับความคิดถึง

ความคิดถึง
คงจะซึ้งถ้าอยู่ท่ามกลางสายฝน
เราปรายตาอย่างช้าช้าประหม่าตน
มองหาคนเคยคุ้นลุ้นให้เจอ

กรีดน้ำฝนปนน้ำใสปลายพวงแก้ม
ทำยิ้มแย้มกับเสื้อไหวไหวใครที่เผลอ
บังเอิญผ่าน เขาทักทาย "ไง..เพื่อนเกลอ"
เราคนเพ้อ รู้สึกเบลอร์ เก้อไปเลย

ที่ว่าแน่ อย่างดีก็แค่เป็นเพื่อน
ต้องกลบเกลื่อนหลังม่านฝนทนเฉยเฉย
เสยผมหมาด...ปากน้ำตา ...ช้าช้าเลย
ลาแล้วเอย..วันฝนพรำ...จำไปนาน

นิยายฝนบทนี้ไม่มีซึ้ง
กับคนซึ่งซึ้งผ่านม่านความฝัน
ฝนเวหาศ...ปราศรักจักผูกพัน
ก็แค่ฝัน..แค่คิดถึง...ซึ้งคนเดียว.