วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ของฝากจากแม่

เถอะลูกยาแม่จะหาของมาฝาก
จะข้ามฟากไปยังฝั่งความฝัน
จะเก็บดวงดารา ณ สายัณห์
กับดวงจันทรายามราตรีกาล

              นำมาสานถักทอเป็นล้อรัก
              บรรจงปักด้วยดิ้นใจที่ไหวหวาน
              มาคล้องขวัญกัลยาทิวาวาร
              นะแผ้วผ่านม่านหมอกละอองควัน
         
                     คือของฝากจากใจแม่
                     อาจจะแลไม่เหมือนใครใครนั่น
                     แต่จดจารในสำนึกทุกคืนวัน
                     คือความฝันใฝ่ดีที่ให้มา

                             ท่านบอกว่า....ไม่ต้องมีวันไหนที่ให้แม่
                             ขอเพียงแต่ดำเนินตามอย่างที่ว่า
                             ดำรงชีพปุถุชนคนธรรมดา
                             หากมีค่าควรยกย่องแก่ผองชน

                                      เถอะแม่จ๋าที่อุตส่าห์ฝ่าฟันนั้น
                                      ถึงฝั่งฝันวันนี้ที่กล่าวกร่น
                                      ลูกได้สืบทอดตามบรรพชน
                                      สืบสานตนตามเจตนาค่าพระคุณ

                     มีรอยยิ้มอยู่ในหน้าทุกครานี้
                     แววปราณีและสองแขนแสนอบอุ่น
                     กับอ้อมอกอุ่นไอละไมละมุน
                     คล้ายเคยคุ้นทุกเวลาทุกนาที

                                       จะยินดีต้อนรับเรากลับบ้าน
                                        เอ้านี่ของโปรดปรานทานเสียซี่
                                        แล้วก็มานั่งลงที่ตรงนี้
                                        แม่จะถี่ถ้วนตรวจตราคราตื้นตัน

                       ลูกได้เป็นคนดีที่แม่สอน
                       แม่จะนอนตาหลับสมกับฝัน
                       เพราะชื่นใจที่ได้ตามอย่างนั้น
                       ไม่ต้องคั้นขออื่นใดอย่างไรเลย.

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฉากรักในม่านฝัน

ที่โค้งรุ้งคุ้งเรียวจะเกี่ยวก้อย
มือน้อนน้อยโอบคล้องสองประสาน
ส่งสายตาสบพักตร์จักนิ่งนาน
มอบความหวานหวามไหวแก่ใจเธอ

              จะแผดเผาราตรีคลี่ม่านรัก
              อิงแอบอกปกปักมั่นเสมอ
              จะหนุนนอนแนบต้องสองแขนเธอ
                   หลับจนเผลอถึงวันพรุ่งของรุ่งราง

ฉากรักในม่านฝัน
ราตรีอันดวงดารานภากระจ่าง
สุดสาดแสงส่องดาวยังพราวพราง
ละอองพร่างคล้ายอารมณ์ท้าคมตา

              ที่เรียวรุ้งคุ้งฟ้าจะพาฝัน
              แนวตะวันสาดแสงโสมโคมส่องหล้า
              ปิดฉากรักในสวรรค์มรรคา
              เพรงเวลาค่าเพียงฝัน...เท่านั้นเอง.

I know you but I don't know who you are !

 ฉันรู้จักเธอดี
แต่เธอซิ คงไม่รู้จักฉัน
อยู่ห่างไกลกลับเหมือนอยู่ใกล้กัน
สัญชาติญาณบอกไว้ว่าใช่เลย

               เธอเป็นคนอ่อนไหว
               มองโลกละมัยแม้ไม่เอ่ย
               ความในใจไม่เคยกล่าวกับใครเลย
               อยากเฉลยแต่ซ่อนเฉยไว้ข้างใน

เธอเป็นคนอ่อนโยน
และโชกโชนประสพการณ์ความหวามไหว
มีทีท่าแข็งกร้าวแต่ร้าวใน
ซ่อนหลบไว้ใจร้าวคราวรันทด

              เธออาจจะชอบฉัน
              เพราะฉะนั้นฉันจึงรู้เธอทั้งหมด
              เธอไม่กล้าใช่ไหมไม่ยอมลด
              เกรงจะหมดทิฐิเก่าเคยร้าวราน

ใช่! ใช่ไหมที่กล่าวมา
ก็เพราะว่าเธอมาอยู่ในฝัน
เป็นคล้ายเดือนที่เตือนตามดวงตะวัน
แต่กระนั้น ยังไม่รู้ "Who you are ...."

ไหว้พระจันทร์....ขอจันทร์


จันทร์เจ้าขาจะขอบ้างได้ไหม
ขอว่าใครที่เราคบในภพนี้
ขอให้ทุกทุกคนเป็นคนดี
ขอให้มีเมตตาต่อหน้ากัน

               จะไม่ขอกินข้าวไม่เอาแกง
               แหวนทองแดงไม่ต้องมาหมายหมั้น
               ขอช้างม้าอยู่ในป่าก็แล้วกัน
               ไม่อยากฟันไม้ใหญ่ให้มีเตียง

โขนละครขอไว้ย้อนดูตัว
ว่าดีทั่วเจอชั่วบ้างจะหลีกเลี่ยง
ยายชูยายเกิดให้ไว้เป็นเพียง
เป็นพี่เลี้ยงนั่นคือเงาของเราเอง

               ขอพระจันทร์นั้นมากไปหรือเปล่า
               ขอไม่เหงาใต้เงาจันทร์วันปลั่งเปล่ง
               ไม่อยากมองดวงจันทร์แล้ววังเวง
                ขอครื้นเครงเชิญเพื่อนมาเฮฮาเอย.


วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปลาแห้ง..กับหน้าฝนปีก่อน


เช้านี้ อากาศไม่สดใสเลย ท้องฟ้ามืดทมึนไปด้วยหมู่เมฆสีเทาหม่น " หน้าฝนย่างกรายมาจริง ๆ เสียแล้วกระมัง " นางคิด หญิงวัยกลางคน ใช้หวีสางผมหยิกหยอยให้ราบเรียบ และเสียบไว้กลางหัว
หล่อนหรี่ตามองแผ่นฟ้า เหมือนรู้ทัน ใบหน้ากร้านแดดสีน้ำตาลแดง บอกความโชกโชนต่อชีวิต
ใช่สินะ หล่อนจมปลักอยู่ในกระท่องซอมซ่อนี่ ตั้งแต่สาว จนลูกห้าคนเข้าไปแล้ว ชีวิต ก็ยังเหมือน ๆ กันทุกวัน ตื่นนอนเพื่อออกไปหาอาหาร และซมซานกลับบ้านด้วยเหงื่อไคลที่ไหลย้อย อาจจะมีอาหาร หรือไม่มีกลับมา แต่ทุกคนทางบ้านก็รออยู่

หล่อนไม่น่าจะมีลูกมากเลย แต่ผัวของหล่อนก็ไม่ได้เรื่อง รับจ้างแบกข้าวสาร ที่ร้านในตลาดอยู่ไม่นาน ก็เลิกรา บ่นว่าไม่ไหว เย็นมาก็เอาแต่เมาหัวราน้ำ ไม่สนใจว่าหล่อน และลูก ๆ จะเป็นอย่างไร ภาระตกหนักอยู่ที่หล่อนคนเดียวจริง ๆ

เมื่อปีกลาย ลูกชายคนโต ออกจากโรงเรียนประถม หล่อนให้ช่วยเก็บผักหญ้าแถวริมคลองไปขายบ้าง หาปลาได้บ้างก็ยังดี หล่อนคิดได้เท่านั้นจริง ๆ

" แม่ ฉันจะไปหาปลานะ " เสียงลูกชายแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ปลุกความคิดของหล่อนให้กลับมา
" เออ เดี๋ยวข้าไปด้วย ขืนช้า ฝนคงได้เทกันมากันเท่านั้น " นางพูดพลาง คว้าถังน้ำใบเขื่องมุมห้อง ออกไปสมทบกับลูกชายที่คอยท่าอยู่

"นังศรี เอ็งหุงข้าวให้น้องกินด้วยนะ ปลาแห้งที่แม่เก็บไว้ในถุงน่ะ เอามาตำน้ำพริกกินกันไปก่อน เดี๋ยวสาย ๆ แม่มา คงได้ปลามาเพิ่มละ " นางสั่งเสียกับลูกสาวคนรอง
" จ้ะแม่" ลูกนางรับคำ

คลองชลประทานปีนี้น้ำเต็มเปี่ยม หลวงปล่อยน้ำมามาก ประกอบกับหน้าฝนมาเร็วกว่าที่คิด สองแม่ลูกปักหลักที่ท้ายคุ้ง ใต้ต้นหางนกยูง เป็นประจำ มีใครหลายคนมาหาปลาก่อนหน้าบ้างแล้ว

โครม.... เสียงแหทอดเป็นวงกว้าง นางค่อย ๆ รวบแหเข้ามา "โธ่เอ๊ย มีแต่ปลาซิว" หล่อนรำพึง มองหน้าลูกชายที่มีสีหน้าผิดหวังพอกัน

ครืน ๆ เสียงฟ้าคำรามและไม่นาน ฝนก็กระหน่ำตกลงมา อย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น หล่อนกับลูก ถอยมานั่งขดอยู่ใต้ต้นหางนกยูง ใช่แผ่นพลาสติก คลุมกันพอไม่ให้ฝนชะผม " เดี๋ยวจะไม่สบาย" นางบอกลูกชายอย่างนั้น

นางทอดตาฝ่าสายฝนหนาหนัก ด้วยความว่างเปล่า และอ้างว้าง นัยน์ตานั้นฝ้าฟางไปด้วยหยาดน้ำตา มันผสมกลมกลืนกันไปหมด จนดูไม่ออกว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา นางปล่อยอารมณ์ระทมทุกข์ กับสายฝน ถึงแม้จะสะอื้นออกมาดังๆ ลูกนางก็คงไม่รู้หรอก ว่านางกำลังร้องไห้

" แม่ ฝนหนักอย่างนี้ พ่อเขาไปอยู่ซะที่ไหนนะ ข้าเป็นห่วงจัง" ลูกนางรำพึง
"ช่างหัวพ่อแกเถอะ ไอ้ชาติเอ๋ย มันจะไปเป็นไปตายอยู่ที่ไหน ข้าก็ไม่รู้แล้ว" นางกล่าวสั้น ๆ

นานอยู่เหมือนกัน ที่สองแม่ลูกนั่งรอ จนฝนซาเม็ด จึงค่อย ๆ ออกมาทอดแหดังเดิม แต่ก่อนที่ลูกชายของหล่อน จะวาดแหลงคลอง พลันก็ได้ยินเสียงตะโกนมาไกล

"  รถคว่ำเว้ย รถสิบล้อคว่ำที่ถนนใหญ่"

พวกที่หาปลาริมคลอง อีกสองสามคน ละงาน ต่างวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เพื่อดูเหตุการณ์ นางกับลูก ก็ถลันวิ่งตามๆ กันไป

ถนนใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากคลองส่งน้ำนัก รถสิบล้อเอียงกระเท่เร่อยู่ริมถนนนั่นเอง ปลาแห้งที่บรรทุกมา หกกระจายไปทั่วบริเวณ ชายสองสามคนที่วิ่งมาล่วงหน้า ต่างก้มลงเก็บปลาแห้ง ใส่ทุกอย่างที่มีอยู่ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หล่อนยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ใจสั่นเหมือนจะเป็นลม เมื่อเช้า ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยนี่นะ

ในแว่บหนึ่งของสำนึก หล่อนอยากจะไปดูว่า ยังมีคนเจ็บติดอยู่ด้านหน้าของรถหรือไม่ แต่ขณะเดียวกัน ปลาแห้งที่หล่นเกลื่อนรอบรถนั้น มันช่างมากมายเหลือเกิน

"เก็บของไปขาย คงได้หลายวะ นังหลวย" พวกที่มาหาปลาด้วยกันกล่าว
"เออ ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ" แล้วหล่อนกับลูก ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บปลาแห้งใส่ทั้งถุง และถัง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
"แม่ ข้าว่า ปลาตัวโต ๆ อย่างนี้ราคาคงหลายนะ" ลูกนางว่า
" อือ" นางตอบสั้น ๆ พะวงอยูแต่กับปลาข้างหน้า
"ไปกันเถอะ ไอ้ชาติ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"  นางเรียกลูกชาย

นางลากถุงปลาอ้อมท้ายรถ ใจที่พองโตเพราะลาภก้อนใหญ่ ทำให้ไม่ได้นึดถึงคนเจ็บในรถเลย
"โอย !! ช่วยด้วย" เสียงครางแผ่วเบา ลอดออกมาจากทางด้านหน้ารถ ฉุดให้นางหยุด และหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั้น

ใบหน้าที่อาบด้วยเลือดแดงฉาน ยื่นมือไขว่คว้าอากาศธาตุ ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ หล่อนหยุดยืน
มองดูคนเจ็บที่ติดอยู่ในซากรถ ไม่นึกว่าจะยังมีคนรอด หล่อรวบถุงปลาแน่น เหมือนหวงแหนของที่ตนเพิ่งได้มา ค่อย ๆ ถอยหลังช้า ๆ ขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ร่างนั้น
" ช่วยย....ฉันด้วย อย่า.....เอาของฉันไป"

เสียงนั้นวิงวอน  ขอร้อง

นางหลวย หันหลังให้ภาพนั้น และฉุดลูกชาย ให้เร่งขนปลา ออกจากซากรถโดยไว

" เร็วลูก เดี๋ยวตลาดวาย.....ขายไม่ทัน"

.....................................................................!!!!!!!!!!!!!........................



วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Don't speak..Don't move....Good Bye

ฉันรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย
เธอจะย้ายออกจากบ้าน...จากที่นี่
ที่เราเคยอยู่ด้วยกันมานานปี
ไปตามวิถีทางตนคนเดิมเดิม
                        
                     ฉันมองดูเธอเก็บของกองสุดท้าย
                     ซึ่งของหลายหลายอย่างเคยสร้างเสริม
                     ที่ตรงโน้นเคยแต่งแต้มเคยต่อเติม
                     ใจที่เหิมกลับหดหู่ดูรันทด

รถแท็กซี่คอยอยู่ที่หน้าบ้าน
อีกไม่นานเธอเก็บของกองนั้นหมด
น้ำใสใสในตาเริ่มรินรด
ไม่อาจอดทนฝืนกล้ำกลืนลง

                     ฉันกล่าวคำอำลาว่า "ที่รัก"
                     พร้อมกับฝากจุมพิตพิศวง
                     เพื่อวาระสุดท้ายไม่ลืมลง
                     อยากจะคงซึมซับประทับรอย

ที่รัก....อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายกายให้หายห่าง
           ขอสวมกอดไหล่กว้างอย่างเงื่องหงอย
           ขอจดจำภาพสุดท้ายไว้ในรอย
           และฝากถ้อยคำสุดท้ายก่อนไกลกัน


รถแล่นออกจากบ้านอย่างช้าช้า
หยาดน้ำตาเอ่อท้นเหลือทนกลั้น
ทิ้งหัวใจไปกับรถคันนั้น
คงภาพฝันวันสุดท้ายไม่ลืมเลย.

Don't Speak....

Don't Move....

Good Bye......








วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มนุษย์



พวกเรา...เป็นวิญญาณจากห้วงหาว
มากับดาวหมื่นแสนที่แดนสรวง
ลอยลิบลิบขลิบฟ้าที่ว่ากลวง
หล่นในห้วงเวลานองมานุษย์

               มีเลือดเนื้อมีความเชื่อมีศรัทธา
               บางเวลามีปรารถนาไม่สิ้นสุด
               มีอารมณ์ดั่งกองไฟไว้ประยุทธ์
               ไม่เคยหยุดอยู่นิ่งเฉยเลยสักครั้ง

ดาวสุดท้ายที่ปรายสรวงหากร่วงหล่น
ก็คงคนสุดท้ายทั้งหลายบ้าง
ลบภาพจริงทุกสิ่งเช่นควันจาง
จึงทุกอย่างแหลกสลาย.. คน...กลายพันธุ์.

คืนค่ำที่ริมปิง

น้ำกระเพื่อมเลื่อมรับระยับยิบ
และละลิบทิวไม้ที่ชายฝั่ง
สาดสีแดงแสงสุดท้ายระบายบาง
น้ำค้างพร่างพรมชื้นพื้นผิวดิน

           ในท่ามกลางราตรีที่เคลื่อนคล้อย
           เรือลำน้อยลอยช้าช้าฝ่ากระสินธุ์
           เขาลาเรือขึ้นฝั่งดั่งเคยชิน
           เป็นอาจินต์ของลำน้ำยามสายัณห์
               
                    เราจะคลอขลุ่ยเสียงเพียงแผ่วผิว
                    ไปกับริ้วแม่ปิงงามเพื่อตามฝัน
                     พร้อมรอแสงสีทองของตาวัน
                     จวบจนวันใหม่มาช้าช้าเอย.


       

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความคิดถึง ...ในม่านฝน


พร้อมพร้อมกับการยิ้มเยือนที่เปื้อนหน้า
ส่งสายตาผูกพันฉันมิตรเพื่อน
ฉันมากับคืนวันจันทร์เต็มดวง
มาเพื่อทวงสิทธิ์รักปักศรัทธา
          
        เธอก็เหมือนเพื่อนใจใครคนหนึ่ง
        คนที่ซึ่งยลยินถวิลหา
        คนที่ฝากความหมายในแววตา
        คนที่เคนเกริ่นว่ามาเป็นเงา

หางนกยูงโรยราเมื่อคราฝน
ฟ้าสีหม่นทอดขวางหนทางเก่า
สะพานไม้ปรายน้ำอย่างแผ่วเบา
กับรอยเท้าก้าวขึ้นฝั่งอย่างมั่นใจ

       ฝนเผาะเผาะเหยาะย่างบนลานเรียบ
       ความหนาวเย็นเฉียบเฉียดเราเบียดไหล่
       กับหม่นหมอกละอองฝอยลอยเป็นไอ
       เพื่อละไล่ความหนาวบรรเทาลง

ฉันมากับม่านหมอกละอองฝน
มาเพื่อกร่นกล่าวคำลำเนาส่ง
มาเพื่อทวงสิทธิ์รักอันมั่นตง
ยินดีให้ลงอาญาศรัทธาใจ.












จากใจ ถึงเจ้าพระยา

ทองกวาวปลิดขั้วใบจากปลายกิ่ง
ทอดร่างทิ้งปลิ่วไกวลงสายน้ำ
แดดตากผ้าอ้อมอ่อนบางพลางทอดลำ
เลื่อมลำน้ำแลงามระยับยิบ
    

แพผักน้ำม่วงครามดูหวามไหว
แพงพวยไกวใบบางระยางหยิบ
ฝูงนกน้ำโบยบินอยู่ลิบลิบ
ชมพูขลิบทิพย์เทวีผีเสื้อไพร

                         เราดื่มด่ำกับภาพหวานระยางหยาด
                         ดังภาพวาดมาศวันอันสดใส
                         เจ้าพระยาโอบร่างอยู่กลางใจ
                         อบอุ่นในใจหนาวทุกคราวเอย.
___________________________________________________________................

                                       ลำแดดอ่อนทอดไล้ที่ชายคุ้ง
                                       อยู่ในอุ้งหัตถ์อ้อมล้อมสิงขร
                                       ขมิ้นบ้านจากนามาดงดอน
                                       คิดถึงคอนที่ริมน้ำเจ้าพระยา.....

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แต่ปางก่อน.... Back to the Future

บางเวลาเคยเป็นอย่างฉันบ้างไหม
รู้ว่าใครสักคนที่ค้นหา
มีความหมายแม้เพียงพบสบสายตา
นั้นห่วงหาอาทรด้วยใจจริง
       เหมือนผูกพันกันมาแต่ปางก่อน
       เรื่องเดือดร้อนใดใดไม่นั่งนิ่ง
       เขาจะมายืนเคียงข้างให้พึ่งพิง
       อาจเป็นหญิงหรือชายใครคนนั้น
อาจเพราะกาลครั้งเก่าเราเป็นญาติ
หรือปางชาติเป็นคู่รักสมัครมั่น
หรือเป็นคนเคยหนุนเกื้อกูลกัน
จึงเวียนผันมาประสบในภพนี้
        บางคนมีเพื่อนล้อมกายมากมายนัก
        บ้างจะหาสักคนอับจนเหลือที่
        เกิดจากเมตตาจิตมิตรไมตรี
        ความหวังดีโปรยรอบชื่นชอบกัน
ดังที่ฉันมาพบพวกเพื่อนพ้อง
ทั้งพี่น้องผูกรักสมัครมั่น
แม้ไม่เคยพานพบสบหน้ากัน
มีเพียงฝันฝากใจให้ถักทอ
        จะทอฝันวันใหม่ถักใยรัก
        จะขอปักศรัทธาใจให้เกิดก่อ
        จะตักตวงสุขไว้ให้เพียงพอ
        เพื่อจะต่อเติมบุญหนุนเนื่องนำ
ได้พบใครหลายคนที่ค้นหา
จารไว้ว่า ณ ที่นี้มีค่าล้ำ
เป็นเวลาที่ล้วนควรจดจำ
เพื่อหนุนนำไปเป็นญาติ....ชาติหน้าเอย.